รีวิวโรงแรม Bangkok Marriott Hotel Sukhumvit ห้องสวย รูฟท็อปบาร์เริด ที่โรงแรมแมริออท กรุงเทพฯ สุขุมวิท
จดใส่ลิสกันไว้ได้เลยกับ Bangkok Marriott Hotel Sukhumvit (โรงแรมแมริออท กรุงเทพฯ สุขุมวิท) โรงแรมหรูชื่อดังของย่านสุขุมวิท ที่มีดีทั้งในเรื่องของห้องพัก ห้องอาหาร รวมทั้งรูฟท็อปบาร์ที่ถือว่ามีชื่อเสียงจัดจ้านในย่านนี้ เรียกว่าจะแค่มานอนพัก หรือแวะมาทานข้าวก็ดูดีทั้งคู่ แถมยังเดินทางได้ง่ายใกล้รถไฟฟ้า BTS ทองหล่ออีกด้วย มีดีขนาดนี้ถ้าใครอยู่กรุงเทพฯ แล้วยังไม่เคยมาต้องรีบมาลองแล้วละ
อยากรู้ว่าโรงแรมแมริออท กรุงเทพฯ สุขุมวิท จะสะดวกสบายน่ามาพักแค่ไหน ตามไปชมในรีวิวนี้ด้วยกันได้เลย ^^
จองห้องพัก Bangkok Marriott Hotel Sukhumvit ราคาพิเศษได้ที่นี่
เปรียบเทียบราคาจาก Agoda (เราเที่ยวด้วยกัน)
เปรียบเทียบราคาจาก Booking
เปรียบเทียบราคาจาก Klook
โรงแรมแมริออท กรุงเทพฯ สุขุมวิท ถือเป็นแบรนด์ 5 ดาวระดับพรีเมี่ยมจากเครือแมริออท กลุ่มโรงแรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่นับแค่ในกรุงเทพฯ มีอยู่ถึง 3 แห่งด้วยกันแล้ว คือ ย่านสุขุมวิท 2 แห่ง และย่านสุรวงศ์อีก 1 แห่ง แต่ที่เราจะพามาชมกันวันนี้คือโรงแรมแมริออท กรุงเทพฯ สุขุมวิท ซึ่งตั้งอยู่บริเวณปากซอยสุขุมวิท 57 ใกล้กับรถไฟฟ้า BTS สถานีทองหล่อ ที่ใช้เวลาเดินจากสถานีแค่เพียง 2-3 นาทีก็ถึงแล้ว
โดยเมื่อเข้ามาถึงจะพบกันส่วนของล็อบบี้เป็นอย่างแรก ที่ตกแต่งด้วยมู๊ดแอนด์โทนร่วมสมัย แอบแฝงความเป็นไทยซ่อนเอาไว้นิดๆ ผ่านลวดลายหรือของตกแต่งต่างๆ ซึ่งถ้าใครเคยรู้จักกับโรงแรมแห่งนี้มาก่อน จะรู้เลยว่าเค้ามี Octave รูฟท็อปบาร์ชื่อดังตั้งอยู่ที่ชั้น 45-49 ด้านบนด้วย ส่วนห้องอาหารอื่นๆ ก็มีชื่อเสียงไม่แพ้กัน ซึ่งเดี๋ยวเราจะพาไปชมกันต่อไป
อ่อ ในตอนเช็คอิน ถ้าใครเป็นสมาชิก Marriott Bonvoy ก็อย่าลืมแจ้งเลขสมาชิกเพื่อสะสมคะแนนกันด้วยนะ
Room Type
ห้องพักของแมริออท กรุงเทพฯ สุขุมวิท นั้นมีทั้งหมด 7 ประเภท ได้แก่
Deluxe Room ขนาด 36 ตารางเมตร
Premier Deluxe Room ขนาด 36 ตารางเมตร
Executive Room ขนาด 36 ตารางเมตร
One-Bedroom Deluxe Suite ขนาด 70 ตารางเมตร
One-Bedroom Executive Suite ขนาด 70 ตารางเมตร
Two-Bedroom Suite ขนาด 82 ตารางเมตร
Presidential Suite ขนาด 165 ตารางเมตร
ปล. เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ห้องที่เปิดให้บริการปัจจุบันคือ Deluxe Room, Premier Deluxe Room และ Executive Room
Deluxe Room
การมาพักครั้งนี้เราเลือกห้องแบบ Deluxe Room ซึ่งถือเป็นห้องพักมาตรฐานของทางโรงแรม มีขนาด 36 ตารางเมตร ถือว่าไม่เล็ก ไม่ใหญ่ แต่มีอุปกรณ์และเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน โดยเมื่อเข้ามาถึงจะเจอกับส่วนของตู้เสื้อผ้าและมินิบาร์เป็นอย่างแรก ก่อนที่จะนำไปสู่พื้นที่ของห้องนอน โต๊ะทำงาน และโซฟานั่งเล่น ส่วนห้องน้ำแยกสัดส่วนออกมาชัดเจน มีทั้งส่วนแห้งของห้องน้ำ อ่างล้างหน้า และส่วนเปียกที่มีฝักบัว และอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ สามารถเปิดม่านกั้นกระจกขึ้นเพื่อนอนแช่น้ำชมวิวของแนวถนนสุขุมวิทได้จากภายในห้อง
สำหรับชุดขนมต้อนรับของทางโรงแรมจะมีให้บริการแก่สมาชิก Marriott Bonvoy ระดับ Platinum ขึ้นไป ในครั้งนี้เราได้รับขนมช็อคโกแลตทรงสี่เหลี่ยม และแบบถั่ว ที่จัดมาบนจานพร้อมข้อความ Welcome นอกจากนั้นในห้องน้ำยังมีการเขียนข้อความต้อนรับแบบน่ารักๆ ให้กับแขกที่มาพักอีกด้วย เรียกว่าสร้างความประทับใจกันตั้งแต่เข้าห้องมาเลย
สิ่งที่เราชอบมากอีกอย่างเวลาได้มาพักที่แมริออทคือเรื่องของชุด Amenity ในห้องน้ำ เพราะว่าที่นี่เค้าใช้ของ THANN สกินแคร์แบรนด์ดังจากประเทศไทย ที่ได้รับเลือกให้เป็นผลิตภัณฑ์อาบน้ำและดูแลผิวกายของโรงแรมแมริออท สำหรับตลาดอเมริกา และเอเชียแปซิฟิก รวมทั้งประเทศไทย (ในยุโรปใช้อีกแบรนด์) บอกเลยว่าหอมกลิ่นอโรม่าให้ความรู้สึกผ่อนคลายดีมาก เพราะเค้ายกคอลเลกชั่นขายดีอย่าง Aromatic Wood มาให้เราได้ใช้กันเลย ยิ่งเอามาตีฟองนอนแช่ในอ่างด้วยแล้ว หอมอย่าบอกใครเชียว
ชุด Welcome Set พิเศษ สำหรับสมาชิก Marriott Bonvoy ระดับ Platinum ขึ้นไป (ซ้าย)
ห้องแบบ Deluxe Room
การตกแต่งลวดลายไทยบนผนัง
ห้องน้ำสามารถเปิดม่านขึ้นเพื่อชมวิวถนนสุขุมวิทได้
ฝักบัวอาบน้ำ (ซ้าย) ห้องน้ำ (ขวา)
ผลิตภัณฑ์อาบน้ำและดูแลผิวกายจาก THANN (ขวา)
มินิบาร์
วิวจากห้องพัก
Restaurant
ห้องอาหารและบาร์ของโรงแรมแมริออท กรุงเทพฯ สุขุมวิท มีทั้งหมด 6 แห่ง ด้วยกัน ได้แก่
Octave Rooftop Lounge & Bar
57th Street
The District Grill Room & Bar
Chocolate Cake Company (CCCo.)
Azure Pool Lounge & Bar
Lobby Lounge
ปล. ห้องอาหารและบาร์อาจมีการเปลี่ยนแปลงเวลาให้บริการตามประกาศมาตรการป้องกันโควิด-19 ของทางกรุงเทพฯ สามารถโทรสอบถามข้อมูลก่อนการใช้บริการที่ 02-797-0000
Octave Rooftop Lounge & Bar
เรียกว่าเป็นดาวเด่นของทางโรงแรมเลยก็ว่าได้ กับอ็อกเทฟ รูฟท็อป เลาจน์ แอนด์ บาร์ ที่ตั้งอยู่บนสุดของโรงแรมตั้งแต่ชั้น 45-49 สามารถชมวิวของย่านสุขุมวิทได้แบบ 360 องศา ช่วงเย็นๆ สวยมาก บรรยากาศดี อาหารอร่อย จะพาแฟนมาดินเนอร์ หรือมาแฮงค์เอาท์กับเพื่อนๆ ก็ฟีลกู๊ดทั้งคู่ แต่เราแนะนำให้มาก่อนอาทิตย์ตกสักหน่อย จะได้ขึ้นมาถ่ายรูปสวยๆ กันก่อนที่จะดินเนอร์ หรือถ้าใครอยากจะมาดริงค์อย่างเดียวก็ได้เหมือนกันนะ เลือกที่สะดวกกันเลย อย่างตอนนี้อ็อกเทฟเปิดให้บริการทุกวันระหว่าง 16:00 - 21:00 น.
โดยส่วนของชั้น 45 จะเป็นส่วนของห้องอาหารหลัก มีโต๊ะนั่งทานข้าวได้จริงจัง ส่วนบนชั้น 47 เป็นไพรเวทแบบอินดอร์ ชั้น 48 เป็น Upper Bar ที่เน้นขึ้นมาดริงค์ชมวิวซะมากกว่าเพราะมีที่นั่งไม่มาก ส่วนชั้น 49 ที่เป็นรูฟท็อปชั้นบนสุดมีทั้งแบบโต๊ะนั่งเตี้ยๆ และยืน สามารถเห็นวิวได้รอบทิศ จากที่เราอธิบายมา ถ้าใครชอบแบบไหนก็เลือกโทรจองที่นั่งกับพนักงานเอาไว้ก่อนได้เลย จะได้ๆ มุมถูกใจ
อย่างเมนูที่เราทานกันวันนี้เรียกว่าตัวไฮไลท์ทั้งนั้น แนะนำเลยอร่อยทุกอย่างจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น
GRILLED AUSTRALIAN BEEF SKEWERS เนื้อออสเตรเลียย่างเสียบไม้ เหนียวนุ่มกำลังดี
CURED SCALLOPS WITH SPICY LEMONGRASS AND MINT DRESSING สแกลลอปชิ้นโต นุ่มมาก
NUA YANG WITH PAPAYA SALAD & COCONUT RICE เนื้อย่างแบบไทยเสิร์ฟพร้อมส้มตำ
TORCHED SALMON จานนี้ชอบมาก เป็นแบบแซลม่อนลนไฟ พร้อมน้ำจิ้มญี่ปุ่น ต้องสั่งเลย
BBQ PORK RIBS เนื้อซี่โครงนุ่มดี รสชาติถูกใจเลย
หลังจากที่ดินเนอร์เรียบร้อย ก็กลับเข้าห้องพักไปนอนแช่น้ำ ดูหนัง หมดไปอีกหนึ่งวันกับบรรยากาศดีๆ ในกรุงเทพฯ
บรรยากาศช่วงเย็นจากบน Octave
Octave ชั้น 45
นั่งทานข้าวชมอาทิตย์ตกดิน เหนือถนนสุขุมวิท
เมนูแนะนำ
มุมถ่ายรูปเพียบเลย
Octave ชั้น 48
ทางเดินขึ้นชั้น 49
เคาน์เตอร์บาร์ Octave ชั้น 49
เมนูเครื่องดื่มม็อคเทลหลากชนิด
วิวยามเย็นจาก Octave
57th Street
ห้องอาหารหลักของทางโรงแรมที่ตั้งอยู่ชั้น 1 ติดกับ Lobby Lounge ให้บริการแบบ All Day Dining รวมถึงบุฟเฟต์มื้อเช้าที่ในตอนนี้เสิร์ฟแบบ A la Carte ให้บริการระหว่าง 6:00 - 10:00 น. มีเมนูให้เลือกหลากหลายดีทั้งแบบไทยและฝรั่ง โดยตัว Specials of the Week จะมีการปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่ซ้ำกัน
อย่างที่เราสั่งมาทานก็มีทั้งเมนูโลคอลอย่างข้าวเหนียวหมูปิ้ง หรือเมนูเอเชียก็เป็นข้าวแซลม่อนเทอริยากิ ทานแล้วได้ฟีลไปเที่ยวญี่ปุ่นดี อย่างเครื่องดื่ม Highlight ตอนนี้จะเป็น กาแฟผสมน้ำส้ม รสชาติดี หอมกาแฟและได้รสชาติส้มหวานๆ ขนมวาฟเฟิลราดซอสเบอร์รี่ก็อร่อย คืออยากจะบอกว่าอาหารเช้าที่นี่ดีมาก อร่อยทุกเมนู สั่งเมนูไหนมาบางอันมีสั่งซ้ำอีกด้วย
ก๋วยเตี๋ยวก็อร่อย บางจานไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะมัวแต่อร่อยอยู่
ปล. ในช่วงเวลาปกติ ทางห้องอาหารแห่งนี้ยังมีบุฟเฟต์นานาชาติมื้อค่ำให้บริการด้วยนะ แต่น่าเสียดายที่ยังไม่เปิดให้บริการในตอนนี้เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19
อาหารเช้าหลากหลายเมนู
อาหารเช้า (ซ้าย) Lobby Lounge (ขวา)
Omelet
ข้าวแซลม่อนเทอริยากิ
ข้าวเหนียวหมูปิ้ง
วาฟเฟิลราดซอสเบอร์รี่ (ซ้าย) กาแฟผสมน้ำส้ม (ขวา)
The District Grill Room & Bar
ปิดท้ายกับอีกหนึ่งห้องอาหารที่ไม่ควรพลาดจริงๆ ที่เดอะ ดิสทริคท์ กริลล์ รูม แอนด์ บาร์ ห้องอาหารที่ได้รับแรงบันดาลใจในการตกแต่งมาจากย่าน Meatpacking District ในนครนิวยอร์ก ให้บรรยากาศการทานอาหารแบบสบายๆ พร้อมเครื่องดื่มหลากหลายชนิด และในเวลาปกติยังสามารถเลือกไวน์รสเยี่ยมมาทานคู่กับอาหารจากไวน์เซลล่าภายในร้านได้อีกด้วย แน่นอนว่าเมนูจะเน้นแบบกริลล์เป็นหลักที่เลือกได้ทั้งเนื้อออสเตรเลียนำเข้า และซีฟู้ด ส่วนครัวจะเป็น Open Kitchen ที่เราสามารถเห็นเชฟขณะกำลังเตรียมอาหารให้เราอยู่ในครัวได้ อย่างในช่วงนี้ห้องอาหารเปิดเฉพาะวันพุธ - อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 11:30 - 21:00 น.
โดยในวันนี้เรามาทานอาหารกลางวันแบบ Signature Lunch Set Menu (3 คอร์ส) + 1 Drink (ไม่มีแอลกอฮอล์) ที่เสิร์ฟระหว่างเวลา 11:30 น. - 15:00 น. ในราคา 1,176 บาทสุทธิต่อคน คือราคาดีมาก เพราะมีทั้ง Appetizer, Main Course และ Dessert พร้อมเครื่องดื่มอีกคนละแก้ว แถมยังให้บริการขนมปัง และเมนูเรียกน้ำย่อยจานเล็กก่อนอาหารอีก 1 จานด้วย คุ้มสุดๆ อิ่มเลย โดยเมนูมีให้เลือกได้ดังนี้
Appetizer มีให้เลือกระหว่าง Caesar Salad หรือ Sweet Corn Cream Soup
Main Course มีให้เลือกระหว่าง Australian Angus Sirloin Steak หรือ Scottish Red Label Salmon
Dessert จะเป็น Salted Caramel Panna Cotta
Mocktail มีให้เลือกระหว่าง Summer Magic หรือ Virgin Mango Margarita หรือ Lemon Berry
สำหรับจานหลักนี่ถ้าใครชอบเนื้อห้ามพลาดจริงๆ นุ่มมาก เชฟทำแบบมีเดียมมาได้กำลังดี ทานคู่กับมันบดเนื้อละมุน ส่วนเมนูแซลม่อนก็อร่อยเลย เซียร์มาดี หนังข้างนอกกรอก ข้างในยังชุ่มฉ่ำ อีกหนึ่งจานที่ชอบคือของหวานปิดท้าย เท็กเจอร์ของตัว Panna Cotta อร่อยมาก นุ่มละมุน ออกรสชาติหวานเล็กน้อย หอมกลิ่นคาราเมล ตัดกับรสเปรี้ยวๆ หวานๆ ของผลไม้ที่ทานคู่กัน
เมนูเรียกน้ำย่อยก่อนเริ่มคอร์ส และ Virgin Mango Margarita
Australian Angus Sirloin Steak
เมนูเรียกน้ำย่อย และ Summer Magic (ซ้าย) บรรยากาศภายในห้องอาหาร (ขวา)
Open Kitchen
Caesar Salad (ซ้าย) และ Sweet Corn Cream Soup (ขวา)
บทสรุปของโรงแรมแมริออท กรุงเทพฯ สุขุมวิท คืออีกหนึ่งโรงแรมที่น่าสนใจของกรุงเทพฯ ที่จะมาพักหรือแวะมาทานอาหารก็โอเคทั้งคู่ แต่ถ้าถามว่าอะไรเด่นที่สุด แน่นอนว่าต้องยกให้กับเรื่องอาหารรวมถึงรูฟท็อปบาร์ที่เรียกได้ว่ายืนหนึ่งในย่านสุขุมวิทเลยก็ว่าได้ คือถึงจะไม่ได้มาพัก แต่ก็ควรค่าที่จะหาโอกาสแวะมาทานข้าวที่นี่จริงๆ ดีงามทั้งสองห้องอาหารที่เราแนะนำไป ราคา Reasonable กับสิ่งที่ได้รับ อ่านจบแล้วโทรไปชวนเพื่อนชวนแฟนมาทานข้าวกันได้แบบกระเป๋าไม่ฉีกแน่นอน
Bangkok Marriott Hotel Sukhumvit
เว็บไซต์ www.bangkokmarriott.com
โปรโมชั่นห้องอาหาร http://marriott-sukhumvit.myshopify.com
โทร 02-797-0000
จองห้องพัก Bangkok Marriott Hotel Sukhumvit ราคาพิเศษได้ที่นี่
เปรียบเทียบราคาจาก Agoda
เปรียบเทียบราคาจาก Booking
เปรียบเทียบราคาจาก Klook
อ่านรีวิวเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Hua Hin Marriott Resort & Spaได้ ที่นี่
หมายเหตุ: บทความนี้จัดทำขึ้นในช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
Opmerkingen