top of page
รูปภาพนักเขียนOn The Jet Plane

Mahanakhon Skywalk ชมวิวจากจุดที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ [รีวิว]

อัปเดตเมื่อ 1 เม.ย. 2564


รีวิว Mahanakhon Skywalk (มหานคร สกายวอล์ค)

คำเตือน !!! หลังจากชมรีวิวนี้จบแล้ว มุมมองที่เคยมีกับกรุงเทพมหานครของคุณจะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน

ก็จะไม่ให้เปลี่ยนไปได้อย่างไรละ เพราะสถานที่ที่ On The Jet Plane จะพาเพื่อนๆ ไปชมกันในวันนี้คือจุดชมวิวของอาคาร King Power Mahanakhon (คิง เพาเวอร์ มหานคร) ที่มีดีกรีเป็นถึงจุดชมวิวจากอาคารที่สูงที่สุดของกรุงเทพมหานคร กับมุมมองใหม่จากความสูงถึง 314 เมตรเหนือพื้นดิน เปิดโล่งเต็มตากับวิวทิวทัศน์ในแบบ 360 องศา ที่บอกเลยว่าสวยงามตระการตาเป็นที่สุด

เอาเป็นว่าถ้าพร้อมแล้ว ออกเดินทางตามไปชมความเป็นที่สุดของมหานครแห่งนี้ไปด้วยกันในรีวิวนี้ได้เลยครับ


 

พิเศษ โปรโมชั่นบัตรเข้าชมมหานคร สกายวอล์ค ราคาพิเศษเฉพาะการสั่งซื้อล่วงหน้าผ่านลิงค์นี้เท่านั้น http://bit.ly/3dPVJwQ

เพียงใส่ Code ส่วนลด SV85252 พร้อมระบุสาขาที่ใช้บริการเป็น King Power Mahanakhon


บัตรเข้าชมมหานคร สกายวอล์ค เหลือเพียง 250 บาท (สุทธิ)


หมายเหตุ: ส่วนลดราคาพิเศษสามารถซื้อได้จนถึง 30 มิถุนายน 2564 / เมื่อซื้อแล้วสามารถนำรหัสที่ได้รับจาก SMS ไปใช้งานได้ภายในระยะเวลา 30 วัน


 

แม้ว่าตัวอาคารคิง เพาเวอร์ มหานคร (ชื่อเดิมคืออาคารมหานคร) จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปตั้งแต่ปี 2559 แต่ส่วนของจุดชมวิว (Observatory) หรือ Mahanakhon Skywalk ที่ตั้งอยู่ระหว่างชั้นที่ 74-78 นั้นเพิ่งได้รับการเปิดตัวสดๆ ร้อนๆ ไปเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมานี้เอง และได้รับการจัดอันดับให้เป็นจุดชมวิวบนดาดฟ้าที่สูงที่สุดของประเทศไทยไปในทันที แซงหน้าจุดชมวิวของตึกใบหยก 2 และ Sirocco Sky Bar อันโด่งดังบนตึกสเตท ทาวเวอร์ และยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะความเป็นที่สุดของ "มหานคร สกายวอร์ค" ยังมากถึง 5 อย่างด้วยกัน คือ

- จุดชมวิวชั้นดาดฟ้าที่สูงที่สุดในประเทศไทย

- รูฟท็อปบาร์ที่สูงที่สุดในประเทศไทย

- ตู้ไปรษณีย์ที่สูงที่สุดในกรุงเทพ

- หนึ่งในพื้นกระจกลอยฟ้า (Glass Tray) ที่มีขนาดใหญ่ ณ ความสูง 310 เมตร

- ลิฟต์ความเร็วสูงที่สุดในประเทศไทย ขึ้นจากชั้น 1 ถึงชั้น 74 ภายใน 50 วินาที

สำหรับการเดินทางมานั้นไม่ยากเลย จะขับรถมาจอดที่ใต้อาคาร หรือนั่งรถไฟฟ้า BTS มาลงที่สถานีช่องนนทรี (ทางออก 3) ก็ง่ายทั้งคู่ โดย Ticket Office นั้นตั้งอยู่ที่บริเวณชั้น 1 ของอาคาร ติดกับจุดจำหน่ายสินค้าที่ระลึก ซึ่งเปิดให้บริการในเวลา 10.00 – 24.00 น. (สามารถเข้าชมรอบสุดท้ายภายในเวลา 23.00 น.) แต่ถ้าให้แนะนำ เราขอแนะนำช่วงเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกดินสัก 1-2 ชั่วโมง (เผื่อเวลาซื้อตั๋วและต่อคิวขึ้น) ที่แม้ว่าจะเป็นช่วงที่มีผู้เข้าชมเป็นจำนวนมาก แต่ถือว่าคุ้มค่าเพราะได้เห็นกรุงเทพฯ ในช่วงเวลาที่สวยที่สุด ทั้งวิวยามสว่าง และวิวยามค่ำคืนที่ตึกต่างๆ เริ่มเปิดไฟกันแล้ว โดยค่าเข้าชมมหานคร สกายวอร์คมีอัตราดังนี้

มหานคร สกายวอล์ค (ภายในอาคารชั้น 74)

ผู้ใหญ่ 850 บาท

เด็กและผู้สูงอายุ* 250 บาท

มหานคร สกายวอล์ค + รูฟท็อปบาร์ (ภายในอาคารชั้น 74 + ภายนอกอาคารชั้น 78)

ผู้ใหญ่ 1,050 บาท

เด็กและผู้สูงอายุ* 450 บาท

*เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป

**ถ้าขับรถมาอย่าลืมประทับบัตรจอดรถกันตรงนี้ด้วย

พิเศษตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 31 มกราคม 2562 กับโปรโมชั่นฉลองช่วงเปิดอาคาร ซื้อบัตรเข้าชมจุดชมวิวภายในและภายนอกอาคาร ในราคาแค่เพียง 765 บาทเท่านั้น (จากราคาเต็ม 1,050 บาท) พร้อมรับเครื่องดื่ม Soft Drink ฟรีอีก 1 แก้วทันทีที่รูฟท็อปบาร์ คืออยากบอกว่าคุ้มค่ามากๆ ถ้าใครกำลังอยากมาแล้วเห็นโปรนี้ก็ไม่ต้องรอแล้ว ตัดสินใจมาได้เลย

ราคาโปรโมชั่นพิเศษจนถึง 31 มกราคม 2562

ได้บัตรมาแล้วเรียบร้อย (ถ้าขับรถมา อย่าลืมประทับบัตรจอดรถที่จุดจำหน่ายตั๋วด้วย)

จุดจำหน่ายสินค้าที่ระลึกของตึกมหานคร และเป็นจุดทางออกหลังจากชมเสร็จ

ลิฟท์ความเร็วสูงที่ขึ้นจากชั้น 1 ถึงชั้น 74 ภายในเวลาแค่เพียง 50 วินาทีเท่านั้น พร้อมมีจอแสดงภาพแอนนิเมชั่นขนาดใหญ่ให้เรารู้สึกเหมือนกำลังชมภาพของกรุงเทพมหานครขณะลิฟท์วิ่งขึ้น

ลิฟท์จะพาเราตรงดิ่งขึ้นมาที่ชั้น 74 ซึ่งเป็นที่ตั้งของจุดชมวิวภายในอาคาร (Indoor Observation Deck) ที่สามารถเดินวนรอบตึกเพื่อชมวิวของกรุงเทพฯ ได้จากทั้ง 4 ทิศ โดยมีจอทีวีสัมผัสได้ตั้งอยู่ทุกด้านเพื่อแสดงข้อมูลและประวัติความเป็นมาของสถานที่สำคัญที่ตั้งอยู่ทางทิศนั้นๆ รวมทั้งยังสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นของตึกเพื่อรับชมข้อมูลต่างๆ ผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตัวเองได้อีกด้วย

ส่วนใครที่อยากส่งโปสการ์ดที่ระลึกจากตู้ไปรษณีย์ที่สูงที่สุดในกรุงเทพมหาคร ก็สามารถไปหยอดซื้อจากตู้อัตโนมัติและส่งจากตู้ที่ตั้งอยู่บริเวณชั้นนี้ได้เลย

ตู้ไปรษณีย์ที่สูงที่สุดในกรุงเทพมหาคร ณ ชั้น 74

หน้าจอทีวีระบบสัมผัสแสดงข้อมูลสถานที่สำคัญต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร

วิวห้างไอคอนสยามริมแม่น้ำเจ้าพระยา

เมื่อชมวิวกันจนจุใจแล้วให้เดินมาขึ้นบันไดเลื่อนต่อไปยังชั้น 75 ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องน้ำที่วิวดีที่สุดในกรุงเทพมหานคร มองเห็นตึกเอ็มไพร์ตั้งอยู่เบื้องหน้า โดยส่วนใหญ่แล้วคนจะใช้เวลาที่ชั้นนี้กันไม่นานนัก เพราะว่าชมวิวจากชั้นที่ 74 กันมาจนหนำใจแล้ว แค่เพียงแวะเข้าห้องน้ำกันก่อนที่จะขึ้นไปชมวิวด้านนอกยังชั้น 78 ซึ่งเป็นชั้นดาดฟ้า โดยสามารถเลือกขึ้นได้ 2 วิธีด้วยกัน คือใช้ลิฟท์แก้วทรงกลม หรือเดินบันไดวนรอบลิฟท์แก้วขึ้นไป ซึ่งเราแนะนำให้เลือกขึ้นลิฟท์แก้วไปก่อน ส่วนขากลับลองเดินบันไดเวียนลง จะได้ไม่เมื่อยมากและได้ลองครบทั้ง 2 แบบ

วิวจากห้องน้ำที่ชั้น 75

ลิฟท์แก้วจากชั้น 75 สู่ชั้น 78

อลังการมากกกกก วิวจากข้างบนนี้เต็มตาสุดๆ ไม่ผิดไปจากคำที่เค้าโฆษณาเอาไว้เลย คือสามารถชมวิวกรุงเทพฯ จากชั้นดาดฟ้าได้แบบ 360 องศาจริงๆ โดยเฉพาะจากจุดที่เรียกว่าเดอะ พีค (The Peak) ซึ่งเป็นทางเดินเปิดโล่งขึ้นไปที่จุดชมวิว ณ ความสูงเหนือพื้น 314 เมตร และถือเป็นจุดที่สูงสุดที่สามารถยืนได้ของกรุงเทพมหานคร มองเห็นวิวรอบตัวได้ทั้ง 4 ทิศ โดยไม่มีอะไรบดบัง (ที่ชั้นเดอะ พีค กระจกจะสูงแค่เอวเท่านั้น)

ส่วนพื้นที่บริเวณชั้น 78 นั้นมีกระจกสูงปิดรอบทั้ง 4 ด้านเพื่อป้องกันลมและกันตก แต่ว่าใสแจ๋วมองวิวกันได้ชัดมากเช่นกัน ซึ่งเป็นที่ตั้งของพื้นกระจกลอยฟ้า (Glass Tray) ที่ถือเป็นหนึ่งในพื้นกระจกลอยฟ้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่สูงเหนือพื้นดินเบื้องล่างถึง 310 เมตร ให้เราได้ลองออกไปเดินพิสูจน์ความกล้ากัน แต่ตรงนี้ถ้าใครอยากออกไปเดินจะต้องต่อคิวสักนิดนึง เพราะในช่วงเย็นจะมีคนขึ้นมาชมวิวเป็นจำนวนมาก และมีการจำกัดจำนวนผู้เข้าชมในแต่ละรอบเพื่อความปลอดภัย รวมทั้งต้องสวมถุงผ้าคลุมเท้าก่อนออกไปยืนถ่ายภาพบนพื้นกระจกด้วย

พื้นกระจกลอยฟ้าที่ชั้น 78

ทางเดินจากชั้น 78 ขึ้นสู่เดอะ พีค ซึ่งเป็นจุดสูงสุดที่ยืนได้ของกรุงเทพมหานคร ณ ความสูง 314 เมตร

รูฟท็อปบาร์ที่สูงที่สุดในประเทศไทย

วิวของตึกใบหยก 2 จากชั้น 78

จากบนนี้สามารถมองเห็นคุ้งน้ำเจ้าพระยาได้สวยงามเต็มตามาก เป็นมุมมองใหม่ที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อนจริงๆ

ช่างภาพทั้งมืออาชีพ และมือสมัครเล่น มารอเก็บภาพวิวสวยๆ กันเต็มดาดฟ้า

ยิ่งเย็นแสงยิ่งสวย โดยเฉพาะเมื่อตึกต่างๆ เริ่มเปิดไฟกันแล้ว

เมื่อชมวิวกันจนเต็มอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาโบกมือลากลับลงสู่เบื้องล่าง โดยเราจะต้องกลับจากชั้นที่ 78 ลงมาที่ชั้น 75 เสียก่อน เพื่อรอลงลิฟท์ไปยังชั้นล่าง ซึ่งทางอาคารทำการจัดการคนได้ดีทีเดียว เนื่องจากแขกที่มาถึงใหม่จะมาที่ชั้น 74 ก่อน ส่วนขากลับจะกลับที่ชั้น 75 ไม่ต้องมายืนรอคิวหน้าลิฟท์ที่ชั้นเดียวกันให้แออัด

โดยขากลับนั้นลิฟท์จะมาหยุดที่ชั้น 4 เพื่อให้เราเดินบันไดเลื่อนลงต่อไปที่ชั้น 1 อีกที ซึ่งระหว่างทางก็จะเป็นที่ตั้งของคิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ศูนย์รวมสินค้าปลอดภาษี ที่มีจำหน่ายทั้งสินค้าแบรนด์เนม สินค้าไลฟ์สไตล์ และสินค้าภูมิปัญญาไทย ซึ่งสินค้าบางอย่างไม่จำเป็นต้องมีเที่ยวบินไปต่างประเทศก็สามารถซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านได้ บอกเลยว่าใครใจไม่แข็ง มีได้เสียเงินกันตรงนี้อีกแน่ๆ กำเงินในกระเป๋าตังและบัตรเครดิตกันให้ดีๆ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือนนะจ๊ะ 555

ย้ำอีกครั้ง ใครอยากไปให้รีบไปช่วงโปรโมชั่นตอนนี้ที่มีไปจนถึง 31 มกราคม 2562 กันด่วน เพราะคุ้มค่ามากจริงๆ

แล้วไว้พบกันใหม่ในรีวิวหน้าครับ ^^


อ่านรีวิวเกี่ยวกับห้องอาหารมหานคร แบงค็อก สกายบาร์ เพิ่มเติมได้ ที่นี่


bottom of page