top of page
  • รูปภาพนักเขียนOn The Jet Plane

[ O M A N ] เมื่อฉัน "ขับรถ" เที่ยวเองที่...โอมาน


"โอมาน" หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่ารัฐสุลต่านโอมาน ดินแดนสุดคาบสมุทรอาราเบียนในแผ่นดินตะวันออกกลาง พื้นที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกอุดมไปด้วยทรัพยากรน้ำมันธรรมชาติ ที่แม้ว่าจะไม่ได้มีมากมายเหมือนประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกัน แต่ก็เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักและเป็นผลผลิตส่งออกที่สำคัญที่ทำให้ประเทศแห่งนี้อู้ฟู่ได้อย่างที่เห็นในทุกวันนี้ แต่นอกจากน้ำมันแล้ว รู้กันหรือไม่ว่าประเทศที่อยู่ในพื้นที่แห้งแล้งแห่งนี้จะมีสถานที่ท่องเที่ยวและวัฒนธรรมที่น่าสนใจ และชวนให้เราได้ออกไปสัมผัสกันมากมายหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องภูมิศาสตร์ สภาพอากาศ (แม้จะร้อนเช่นกันก็ตาม 555) พืชพันธ์ธรรมชาติ และความเป็นอยู่ของผู้คนที่แตกต่างจากบ้านเราอย่างสิ้นเชิง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องวันหยุดที่นั้น โอมานก็ไม่ได้หยุดวันเสาร์ อาทิตย์ แบบบ้านเราแล้ว ซึ่งในกระทู้นี้ก็จะขอนำเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย และข้อมูลการท่องเที่ยวที่ได้พบเจอจากการขับรถเที่ยวด้วยตัวเองที่ประเทศโอมานมาให้ทุกท่านรับชมเป็นข้อมูลกัน เผื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับผู้ที่สนใจจะเดินทางไปเที่ยวโอมานด้วยตัวเอง เอาละครับ ถ้าหากว่าพร้อมแล้วก็มาออกเดินทางไปโอมานด้วยกันกับรีวิวนี้ได้เลยครับ

สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ เราเริ่มการเดินทางที่ท่าอากาศยานดอนเมือง กับเที่ยวบินปฐมฤกษ์สู่กรุงมัสกัต ประเทศโอมาน ของสายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ (Thai AirAsia X) ที่เพิ่งเริ่มบินไปเมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมาครับ ให้บริการ 3 เที่ยวบิน/สัปดาห์ ดังนี้ ขาไป XJ555 เส้นทางบินกรุงเทพฯ (DMK) - มัสกัต (MCT) เวลา 15:20 - 18:10 น. (อังคาร พฤหัสบดี เสาร์) ขากลับ XJ556 เส้นทางบินมัสกัต (MCT) - กรุงเทพฯ (DMK) เวลา 19:40 - 04:40 น. (อังคาร พฤหัสบดี เสาร์)

ใช้เวลาบินราว 6 ชั่วโมง ผ่านอ่าวเบงกอล ประเทศอินเดีย และทะเลอาหรับ จนในที่สุดเราก็บินเข้าสู่แผ่นดินโอมานครับ แค่มองจากบนฟ้านี่ก็เห็นเลยว่าสภาพภูมิประเทศนั้นต่างกับบ้านเราจริงๆ โดยเฉพาะแนวเทือกเขาสูงริมชายฝั่ง ที่บ้านเราเวลาบินผ่านภูเขาหัวโล้นคิดว่าแห้งแล้งแล้วก็ยังมองเห็นซากต้นไม้ตายอยู่บ้าง แต่มาเจอที่นี่ภูเขาของเค้าโล้นจริงๆ ครับ โล้นแบบไม่มีต้นไม้เลยสักต้น เหมือนเป็นกองดินกองหินสูงๆ ยังไงยังงั้นเลย ระหว่างที่กำลังลดระดับลงสู่ท่าอากาศยานมัสกัตนี่มองไปเจอแต่ที่โทนเหลือง น้ำตาล เท่านั้นจริงๆ แต่มองจากบนฟ้าแล้วบ้านเค้าน่ารักดีนะครับ ดูเป็นบล๊อกๆ เท่าๆ กันไปหมด และที่โอมานนี่ไม่มีอาคารสูงเลยครับ ดูโล่งโปร่งสบายตามาก จากเครื่องบินมองเห็นได้ทั้งเมือง ซึ่งเหตุที่ประเทศโอมานไม่มีตึกสูงนั่นก็เพราะว่าเค้าจะไม่สร้างสิ่งปลูกสร้างสูงกว่าสถานที่ที่คนที่นี่เคารพครับ

ในที่สุดแอร์บัส เอ330-300 ของไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ก็พาเรามาถึงท่าอากาศยานโอมานเป็นที่เรียบร้อยครับ สนามบินของที่นี่ถือว่าเล็กมากครับถ้าเทียบว่าเป็นสนามบินหลักของประเทศ สูงเพียง 2 ชั้นเท่านั้น เรียกได้ว่าสนามบินภูเก็ตบ้านเรายังใหญ่กว่าอีก แต่ในภาพที่เห็นอาคารใหญ่ๆ ด้านหลังเครื่องบินนี่คืออาคารผู้โดยสารหลังใหม่ที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างครับ ซึ่งถ้าเปิดใช้เมื่อไหร่ก็คงจะใหญ่โตน่าใช้งานทีเดียว แต่ถึงแม้ว่าอาคารที่ใช้อยู่ปัจจุบันจะมีขนาดเล็ก แต่ก็ถือว่าบริหารจัดการได้ดีนะครับ ถึงจะดูแออัด แต่การ flow ของผู้โดยสารถือว่าทำได้เร็ว ไม่ค่อยติดขัดอะไร และด้วยความที่เป็นเที่ยวบินปฐมฤกษ์ เลยมีอุโมงน้ำมารอต้อนรับด้วยครับ สำหรับเครื่องบินของไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ จะจอดแบบ Bus Gate ครับ พอเราลงจากเครื่องแล้วก็ขึ้นรถบัสเพื่อเข้าไปยังตัวอาคารผู้โดยสาร เพื่อผ่าน ตม. ต่อไป ซึ่งคนไทยสามารถเดินทางเข้าสู่ประเทศโอมานได้ผ่านการทำ Visa on Arrival ที่ท่าอากาศยานมัสกัตได้เลยครับ ค่าใช้จ่าย 5 OMR (โอมานเรียล) หรือประมาณ 500 บาท สามารถอยู่ได้ 10 วัน พอเข้าอาคารผู้โดยสารมาปุ๊ป ให้มองตรงไปด้านหน้าก็จะเจอกับจุดต่อคิวสำหรับทำ Visa on Arrival ครับ ส่วนถ้ามองไปทางขวามือก็จะเป็นเคาน์เตอร์ ตม. (มัวแต่วุ่นๆอยู่เลยไม่ได้ถ่ายภาพมาด้วย) โดยจุดทำ Visa นั้นเราสามารถขอแลกเงินเป็น OMR ที่จุดนี้ได้เลยเช่นกันครับ โดยจากประเทศไทยให้เราแลกเป็นเงิน USD มาก่อน และค่อยนำมาแลกเป็น OMR ที่นี่เพื่อใช้จ่ายค่า Visa อีกทีหนึ่ง แต่ถ้ามีเงิน OMR อยู่แล้วก็จ่ายได้เลยครับ ใช้เวลาสักพักก็จะได้ตราปั๊มมาใน Passport ของเราแจ้งว่าสามารถให้อยู่ได้ 10 วัน พอได้มาเรียบร้อยถึงค่อยเดินไปทางขวามือเพื่อไปยัง ตม. ต่อไป หลังจากนั้นก็ไปรับกระเป๋า และเดินผ่านประตูออกมาข้างนอกได้เลย

หลังจากออกมาเป็นที่เรียบร้อย เราก็จะเจอกับบรรยากาศภายในอาคารผู้โดยสารดังนี้ครับ ตรง - จะเจอกับเคาน์เตอร์ของ ooredoo ที่เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่นี่ครับ (บางช่วงคิวเยอะเหมือกัน) ซ้าย - จะเจอกับตู้ ATM และเคาน์เตอร์แลกเงิน ขวา - จะเจอกับเคาน์เตอร์บริษัทเช่ารถเจ้าต่างๆ จากตรงนี้ถ้าใครจองทัวร์ หรือมีคนมารับอยู่แล้วก็เดินออกไปด้านนอกได้เลยครับ แต่ถ้ายังแนะนำให้ซื้อ SIM Card ที่นี่ใช้ก่อนครับ ถูกสุด เพราะที่โอมานค่า Data Roaming และค่าโทรระหว่างประเทศแพงเอาเรื่อง และยังไม่มีแพ็คเจค Unlimited แบบไปญี่ปุ่น เกาหลี ครับ ก็ซื้อจากที่เคาน์เตอร์ของ ooredoo ตรงหน้านั้นได้เลย จากที่ซื้อใช้มาขอรีวิวให้ชมดังนี้ครับ จากภาพด้านล่างซองซ้ายจะเป็นชุด SIM Card ราคา 3 OMR แบ่งเป็นค่าซิม 1 OMR และเงินที่สามารถใช้ได้ 2 OMR ในซองมาพร้อมกับคู่มือการใช้งาน ส่วนตัว SIM Card ก็มีรอยปรุให้สามารถแกะเองได้ทุกประเภทครับ ทั้ง Micro หรือ Nano ส่วนด้านขวาคือบัตรเติมเงิน เริ่มต้นที่ 2 OMR ส่วนผมซื้อแบบ 5 OMR มาครับ เวลาเติมเงินนั้นง่ายมาก ด้านหลังบัตรจะมีหมายเลขบอกให้กดเลยว่าต้องการเติมเงินเพื่อใช้งานประเภทไหน เช่น ค่าโทร ค่า Data หรือค่าโทรระหว่างประเทศ แนะนำให้เติมเป็นค่า Data อย่างเดียวก็ใช้งานได้ครบและครับ ทั้งเข้าอินเตอร์เน็ทหาข้อมูล นำทาง หรือโทรผ่าน app กลับประเทศไทย แต่ที่โอมานไม่สามารถใช้ Line ได้นะครับ จะใช้ได้แต่พวก WeChat WhatApp รวมทั้งเล่น Facebook และ IG ได้ปรกติ

ส่วนทางขวามือก็จะเป็นเคาน์เตอร์รถเช่าครับ มีมากหมายหลายเจ้า เรียกว่าแทบจะครบเจ้าหลักๆ ชื่อดังทั้งหมด เดินเข้าไปเช่าได้เลยครับ แต่ถ้าให้ง่ายก็จองจาก Internet มาก่อนจะดีกว่า ไม่ต้องมาลุ้นเอาหน้างาน สำหรับ จขกท. ทำการเช่าจาก Internet เอาไว้ล่วงหน้าครับ จากเวป Rentalcars.com โดยเลือกรถของ Budget เป็นโตโยต้า ยาริส (แต่คือวีออสบ้านเรา) เกียร์ออร์โต้ ตกวันละ 900 กว่าบาทครับ รวมเช่าสองวันไม่ถึงสองพัน ถูกมากครับ แต่อย่าลืมดูพวก Condition ด้วยนะครับว่าขับได้กี่คน รวมประกันหรือยัง เอกสารที่จำเป็นสำหรับการเช่ารถ 4 อย่างดังนี้ 1. ใบจองที่เช่าจากมา Internet (ถ้าจ่ายผ่านเนทแล้วก็ไม่ต้องจ่ายซ้ำ) 2. Passport 3. ใบขับขี่สากล 4. บัตรเครดิต (มัดจำ 150 ORM หรือราว 15,000 บาท) ใช้เวลาไม่นานเจ้าหน้าที่ก็พาเดินไปยังลานจอดรถด้านหน้าอาคารผู้โดยสารเพื่อรับรถครับ เป็นอันเสร็จพิธี

รถยนต์ที่โอมานพวงมาลัยจะอยู่ฝั่งซ้าย เพราะที่นี่ขับรถชิดขวาครับ คนละด้านกับบ้านเรา ก่อนจะขับออกถนนจริงเลยต้องฝึกวนในลานจอดรถสักรอบสองรอบก่อนให้ชิน เพราะไฟเลี้ยว ที่ปัดน้ำฝน สลับด้านกับเราหมดครับ ส่วนเรื่องเส้นทาง จขกท. ใช้ซิมที่ซื้อมานั่นแหละครับในการนำทางตลอดทั้งทริป สำหรับสาวก iPhone ไม่สามารถใช้แผนที่ของ apple ในการนำทางได้นะครับ เหมือนมันยังไม่มีเส้นทางในฐานข้อมูล ต้องมาเปิดจาก Google เพื่อนำทางแทน พอเซ็นจุดหมายปลายทางเสร็จเรียบร้อยก็พร้อมลุยละครับที่นี้

แต่ก่อนจะเข้าเรื่องที่เที่ยว ขอแนะนำข้อมูลเกี่ยวการเติมน้ำมันของที่นี่สักหน่อยครับ เนื่องจากโอมานเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ดังนั้นราคาน้ำมันของที่นี่จึงถูกมากกกก ถูกชนิดที่ว่าราคาพอๆกับน้ำแร่บ้านเราเท่านั้น โดยน้ำมันเบนซินมีให้เลือกแค่ 2 ประเภทเท่านั้น ไม่ต้องปวดหัวในการเลือกแต่อย่างใด อยากแรงก็ Super ประหยัดหน่อยก็ Regular ราคาต่างกันแค่บาทเดียวครับ - Super ราคาลิตรละ 0.18 ORM หรือประมาณ 18 บาท - Regular ราคาลิตรละ 0.17 ORM หรือประมาณ 17 บาท

ส่วนปั๊มน้ำมันมีอยู่แค่ 3 ยี่ห้อดังนี้ ราคาเท่ากันทุกเจ้าครับ 1. al Maha 2. Shell 3. Omanoil

หากใครกำลังมองหาที่พักใกล้สนามบินแนะนำโรงแรมนี้เลยครับ Grand Hormuz ตั้งอยู่แถวหน้าๆ สนามบินเลยครับ (แต่ต้องนั่งรถ ไม่สามารถเดินได้) แต่ถ้าอยากใกล้ที่เที่ยวก็ไปเลือกในตัวเมืองอย่างเช่นย่าน Mutrah แต่ด้วยความที่เมืองมัสกัตค่อนข้างเล็กถ้าเทียบกับบ้านเรา จะไปที่ไหนในเมืองนั่งรถเต็มที่อย่างมากก็ราว 20-30 นาทีเท่านั้นครับ สำหรับการจองโรงแรมที่โอมานสามารถจองผ่านเวปจอง รร. อย่าง Agoda หรือ AirAsiaGo ได้เลยครับ และปริ้น Voucher มาแสดงตอนเข้าพัก แต่ที่เห็นๆมาส่วนใหญ่จะตัดบัตรเครดิตผ่านเวปไม่ได้ ต้องมาจ่ายเงินสดหรือบัตรเครดิตที่หน้างานอีกครั้งหนึ่ง ถ้ามีได้ก็คงส่วนน้อยครับ และนอกจากค่าโรงแรมแล้ว ยังมีค่าภาษีรัฐอีกด้วย รวมแล้วจากราคาที่แจ้งหน้าเวป เราจะต้องจ่ายเพิ่มอีกราว 17% ด้วยกันครับ ดังนั้นเวลาจองโรงแรม อย่าลืมอ่าน Condition กันดีๆนะครับ

เนื่องจากช่วงที่มาเที่ยวนั้นยังอยู่ในช่วงเดือนรอมฎอน หรือช่วงถือศีลอดอยู่ ดังนั้นตั้งแต่ช่วงพระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก ร้านอาหารที่นี่จะปิดบริการครับ รวมทั้งกาแฟด้วยเช่นกัน (สตาร์บัคก็ปิด) และการรับประทานอาหารในที่สาธารณะในช่วงเวลาดังกล่าวถือว่าเป็นข้อห้ามและผิดกฎหมาย แต่สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ทางคนท้องถิ่นก็แนะนำว่าถ้าจะทานกันจริงๆ ก็ให้ทานให้รถหรือที่ๆมิดชิดครับ ดังนั้นก่อนจะไปทานข้าวเย็นเราเลยมาเดินเล่นดูสินค้าท้องถิ่นกันที่ Mutrah Souq กันไปพลางๆครับ (Souq แปลว่าตลาด) ถ้าขับรถมาเองก็จอดข้างถนนแบบนี้ได้เลย ส่วนโดมที่เห็นในภาพล่างคือทางเข้า Mutrah Souq ครับ ภายในจะมีสินค้าท้องถิ่น ของที่ระลึก เครื่องประดับ เสื้อผ้า ขายเต็มไปหมด เป็นตลาดที่มีทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวมาเดินกันเยอะมาก เรื่องสภาพอากาศที่โอมานนั้นบอกได้เลยว่าร้อนกว่าบ้านเรามากครับ ร่มแบบกัน UV ยังเอาไม่อยู่ แต่ช่วงกลางคืนค่อยยังชั่วขึ้นหน่อย มีลมพัดสบายๆ นักท่องเที่ยวสามารถแต่งตัวแบบปรกติได้ครับ ผู้หญิงไม่ได้จำเป็นต้องโพกหัวแต่อย่างใด แค่อย่าโป้ แต่ส่วนใหญ่ก็เห็นชอบโพกกันเพราะกันร้อนกันดำมากกว่าครับ แถมถ่ายรูปสวยด้วย

ช่วงเดือนรอมฎอน ร้านอาหารที่นี่จะเปิดกันอีกที 20:40 น. ครับ ทั้งเพลียทั้งร้อน เลยขอมาทานข้าวเย็นในห้าง Lu Lu แทนแล้วกันครับ อารมณ์แบบโลตัสบ้านเราเลย เน้นง่ายๆ เลยจัด KFC ซะเลย ราคาก็ถือว่าไม่แพงมากครับ อย่างชุดที่ทานมีไก่ 4 ชิ้น ขนมปัง 1 ข้าว 1 เฟร้นฟราย 1 น้ำ 1 ราคาแค่ 1.5 ORM หรือราว 150 บาทเท่านั้นเองครับ หลังจากทานเสร็จเลยไปเดินซื้อของฝากใน Super ก่อนกลับที่พัก ของครบและสนุกดีครับ ขนมและของกินแปลกๆที่ต่างจากบ้านเรา ผมไม้ท้องถิ่นก็ถูก ใครชอบก็จัดไปครับ ส่วนผลอินทผาลัมนี่มีให้เลือกเยอะมาก ราคาก็ถูกสุดๆ ถือว่าเป็นของฝากชั้นดีทีเดียว

สำหรับช่วงเดือนรอมฎอนแบบนี้ อาจส่งผลให้เวลาเปิดปิดของสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งอาจปรับเปลี่ยนไปจากเดิม รวมทั้งอย่างที่บอกไปตอนต้นว่าวัน ศุกร์ และเสาร์ ถือเป็นวันหยุดของที่ประเทศโอมาน ดังนั้นก่อนไปเที่ยวแต่ละที่จึงต้องทำการบ้านมาก่อน หรือไม่ก็เตรียมใจเอาไว้ด้วยเผื่อปิดไม่ให้เข้าชมครับ (แต่ ณ วันที่ลงกระทู้นี้สิ้นสุดเดือนรอมฎอนแล้วนะครับ) ในเช้านี้รามีแผน City Tour เล็กๆ ก่อนจะออกเดินทางไปนอกเมืองกันต่อครับ โดยสถานที่แรกที่มาคือ Royal Opera House Muscat โดยปรกติถ้าไม่ได้มีจัดงานก็จะปิดอยู่แล้วครับ แต่ว่าพอเป็นช่วงวันหยุดด้วย พวกร้านกาแฟ ร้านขายของที่ระลึกในนี้จึงปิดเหมือนกันหมด ได้แค่เข้ามาดูความสวยงามของอาคารที่ด้านหน้าเท่านั้นครับ แต่ก็ถือว่าโอ่อ่า อลังการดีครับ ไม่ควรพลาด

ส่วนสถานที่ถัดมาเรียกว่าเป็นไฮไลท์ของมัสกัตเลยครับกับ Sultan Qaboos Grand Mosque ที่ภายในเค้าบอกว่าอลังการมาก และมีพรมผืนใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ด้วย แต่.....ดันมาวันศุกร์ ที่นี่ปิดครับ T_T สำหรับ Sultan Qaboos Grand Mosque นั้นเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 08:00 - 11:00 เท่านั้น ยกเว้นวันศุกร์ที่ปิดเพื่อให้คนที่นี่ได้มาปฎิบัติศาสนกิจครับ

อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดในตัวเมืองคือ Al Alam Royal Palace หรือวังสุลต่านนั้นเองครับ และที่ตั้งอยู่ติดๆ กันเดินเชื่อมกันได้เลยก็คือป้อม Al Jalaili fort ซึ่งทั้งสองแห่งที่ว่านี้ก็ขับรถต่อจากตลาด Mutrah Souq มาแค่เพียง 5 นาทีเท่านั้นเองครับ เป็นโซนเมืองเก่ามัสกัต

หลับจบ City Tour เรามุ่งหน้าออกจากมัสกัตไปยังเมือง Sur ที่ห่างออกมาทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 200 กิโลเมตร ซึ่งระหว่างทางเราก็จะวิ่งบนทางหลวงเลียบแนวชายฝั่งไปครับ บางช่วงสามารถมองเห็นทะเลได้ด้วย สำหรับสิ่งที่ต้องระวังเมื่อวิ่งบนทางหลวงยาวๆ แบบนี้คือกล้องตรวจจับความเร็วครับ มีถี่มากๆ แทบจะทุก 3 กิโลเมตร สำหรับความเร็วเฉลี่ยที่เห็นๆจะมี 2 ช่วงด้วยกันครับ คือ 100 และ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ต้องมองป้ายกันดีๆครับว่าช่วงไหนจำกัดความเร็วเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นโดนค่าปรับกันบานเลย สำหรับสิ่งที่น่าสนใจตรงนี้มีอยู่ 3 อย่างด้วยกัน (ถ้าใครไปทะเลทรายก็วิ่งมาทางนี้เช่นกัน) ดังแผนที่ด้านล่าง เรียงตามลำดับเลยนะครับ 1. Bimmah Sinkhole 2. Fins Beach 3. Wadi Shab ซึ่งแต่ละที่มีหน้าตาอย่างไรบ้าง ตามไปชมกันเลยครับ

สถานที่แรกที่ผ่านก็คือ Bimmah Sinkhole ครับ จุดนี้ขับเลี้ยวจากถนนหลวงเข้ามาไม่ไกลมากก็เจอครับ หาง่าย เป็นสถานที่ที่ทุกคนต้องมา ห้ามพลาดเลยทีเดียว มีลักษณะเป็นหลุมที่ยุบตัวลงไปและมีแอ่งน้ำอยู่ด้านล่างครับ มองจากข้างบนนี่ดูเฉยๆ มาก เหมือนเล็ก แต่พอเดินลงบันไดไปจริงๆ ใหญ่พอควรเลย บรรยากาศดูดีมากครับ ถ่ายภาพออกมาสวยทีเดียว ถ้าใครมีเวลาก็เตรียมชุดว่ายน้ำไปด้วยนะครับ เพราะมันน่าเล่นจริงๆ น้ำใสมาก เห็นมีคนไทยและคนต่างชาติไปว่ายน้ำกันหลายคนเลย ก่อนจะลงจากรถอย่าลืมติดร่มกันแดดกันไปด้วยนะครับ หน้าร้อนนี่แดดแรงและอากาศร้อนสุดๆ ถ้าไม่มีร่มนี่ไม่ไหวจริงๆ ครับ เท็ชชู่เปียกเตรียมไปเยอะๆเลย ถึงบอกว่าพอไปเห็นแล้วมันน่าโดดน้ำมากจริงๆครับ

ถัดมากคือหาด Fins Beach ครับ มาดูน้ำทะเลใสๆ และคลื่นลูกโตๆ อันนี้ก็ถ่ายรูปสนุกครับ แต่ไม่ค่อยแนะนำให้มา เพราะห่างจากถนนใหญ่เยอะ และต้องวิ่งผ่านถนนลูกรังเข้ามา ไม่มีร้านค้าอะไรระหว่างทางด้วย ถ้าเกิดมารถเสียยางแตกที่นี่ไม่รู้จะกลับยังไงเลยทีเดียว

ที่ถัดมาคือ Wadi Shab ครับ เป็นแหล่งน้ำที่อยู่ระหว่างร่องเขา อันนี้ลงจากทางหลวงนิดเดียวก็ถึงครับ ขับรถเข้ามาง่ายมาก แต่ส่วนที่ลำบากคือหลังจากจอดรถครับ เพราะเราจะต้องนั่งเรือข้ามฟากไปฝั่งตรงข้ามซะก่อน (นั่งเรือ 2-3 นาที) โดยมีค่าเรือคนละ 1 ORM จากนั้นต้องเดินต่อไปอีก 20 นาทีครับ ตรงนี้ร่มและกันแดดสำคัญสุดๆ พอเข้าไปแล้วก็จะไปเจอกับแหล่งน้ำที่ไหลมาจากน้ำตกเตี้ยๆ ตรงนี้ก็สามารถเล่นน้ำได้เช่นกันครับ ระหว่างทางเดินก็มีต้นอินทผาลัมของจริงให้เห็น แต่เนื่องจากทางเดินเป็นหินและทรายตลาดทาง ดังนั้นอย่าใส่รองเท้าใหม่ๆ หรือรองเท้าสีขาวมานะครับ เพราะมันจะฝุ่นเขลอะมากๆ หารองเท้าเก่าๆที่พร้อมลุยดีกว่าครับ ส่วนคำแนะนำคือ ถ้าใครซื้อทัวร์รถ 4x4 เพื่อไปทะเลทรายอยู่แล้ว ข้ามไปดู Oasis ในทะเลทรายเลยครับสวยกว่า แต่ถ้าไม่ได้ไปทะเลทราย อันนี้ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามครับ

ออกเดินทางกันต่อ ถนนในประเทศโอมาน พวกไฟเขียวไฟแดงจะเจอเฉพาะในตัวเมืองมัสกัตหรือแยกใหญ่ๆเท่านั้นครับ นอกนั้นเป็นวงเวียนเกือบทั้งหมดเลย เวลาวิ่งมาเจอต้องระวังให้ดีครับ อย่าเลี้ยวเข้าวงเวียนผิดข้างละครับ และจำไว้เสมอว่าก่อนเข้าเราต้องหยุดให้รถในวงเวียนผ่านไปก่อน นอกจากนั้นประเทศนี้ยังมีความแปลกอีกอย่างครับ คือเวลาเข้าเขตชุมชน บนถนนจะมีลูกระนาดครับ มองเห็นยากด้วย ขนาดขับอยู่ถนนใหญ่ 4 เลนก็ยังมีลูกระนาด วิ่งมาเร็วๆ เจอลูกระนาดเบรกแทบไม่ทัน ต้องสังเกตุป้ายเตือนให้ดีครับไม่งั้นมีได้กระโดดกันแน่ๆ

ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึง Sur กันครับ คืนนี้พักที่โรงแรม Sur Beach Holiday ที่ตั้งอยู่ริมทะเลเลย แต่ว่าชายหาดที่นี่ไม่ได้สวยเหมือนบ้านเราครับ แต่ก็ถือเป็นอีกบรรยากาศโรงแรมริมทะเลที่วิวโปร่งโล่งสบายตาดีครับ เพราะอย่างที่บอกประเทศนี้ไม่มีตึกสูงเลย หลังจากเช็คอินเสร็จเรียบร้อยก็ขับรถเข้าไปสำรวจเมืองกัน โดย Sur เป็นเมืองริมทะเลเล็กๆ บรรยากาศเงียบๆ ขับรถแปปเดียวก็ทั่วเมืองแล้วครับ มีหอประภาคารบริเวณริมอ่าวที่เป็นจุดชมวิว

ช่วงหัวค่ำที่เป็นเวลาละหมาดนี่เรียกว่าคนแทบจะหายไปหมดทั้งเมืองเลยครับ แต่พอละหมาดเสร็จคนออกมาทานข้าวเย็น เมืองก็จะกลับมาครึกครื้นอีกครั้งหนึ่ง

มื้อเย็นวันนี้เราฝากท้องกับร้านอาหารท้องถิ่นริมทะเลครับ ลมพัดเย็นสบาย แต่น่าเสียดายที่บ้านเมืองเค้าไม่ได้เปิดไฟอะไรสวยงามมากนัก เลยมองวิวทะเลแบบมืดๆ ไม่ค่อยเห็นอะไร จะสวยแค่ก่อนมืดเท่านั้น ส่วนราคาอาหารก็ไม่แพงครับ ในภาพที่เห็นสั่งข้าวไป 2 ชุด เป็นปลาชุด ไก่ชุด ราคาชุดละแค่ 1-2 ORM หรือราวร้อยกว่าบาท แต่ชุดนึงนี่จานใหญ่มาก สำหรับคนไทยสามารถทานได้ 2 คนเลยทีเดียว มื้อนี้ราคารวมเครื่องดื่ม และแป้งนานด้วยแล้วก็แค่ 5 ORM ทานกันไม่หมดเลยทีเดียวครับ มันเยอะมากจริงๆ หลังจากทานเสร็จแล้วก็กลับที่พักเลยครับ ขับรถยาวมาทั้งวัน สลบ

บรรยากาศริมทะเลยามเช้า วันนี้เป็นวันที่สามของทริป และเป็นวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับด้วยครับ หลังจากทานอาหารที่โรงแรมเรียบร้อย เราก็แวะมาดูตลาดปลาของเมือง Sur กันครับ ไม่รู้ว่าเพราะเป็นช่วงเดือนรอมฎอนหรือเพราะเป็นวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดของที่นี่อย่างไรก็ไม่ทราบแน่ จึงทำให้ตลาดปลามันดูโหลงเหลงยังไงพิกล เพราะจากที่ไปดูภาพและข้อมูลในอินเตอร์เน็ทมามันก็ดูครึกครื้นกันดี ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงมีคนมาขายปลาน้อยมาก ส่วนปลาที่วางขายส่วนใหญ่เป็นปลาทูน่าครับ เห็นแล้วนึกถึงตลาดปลาญี่ปุ่น อยากกินซูชิขึ้นมาทันที

สำหรับโปรแกรมวันนี้ เราออกเดินทางแต่เช้าไปยังเมือง Nizwa ก่อนที่จะเดินทางกลับท่าอากาศยานมัสกัตเพื่อเช็คอินเที่ยวบินไฟลท์เย็นต่อไปครับ เรียกว่าต้องทำเวลากันพอสมควร เพราะระยะทางค่อนข้างไกลสามร้อยกว่ากิโล เส้นทางที่ใช้วันนี้วิ่งเข้ามาในแผ่นดิน เลยไม่ได้มีวิวทะเลให้เห็นเหมือนเมื่อวานครับ จะดูแห้งแล้ง และก็มีอูฐเดินกินหญ้าอยู่ริมถนนด้วยครับ อารมณ์เดียวกับเราขับผ่านทุ่งนาและเห็นควายเลยครับ น่ารักดี ส่วนเรื่องข้าวกลางวันก็เน้นทานในรถกันเป็นหลักครับ พกอะไรที่ทานง่ายๆ มาด้วย

และในที่สุด เจ้ายาริสคันน้อยก็พาเรามาถึงเมือง Nizwa ครับ ใช้เวลา 3 ชั่วโมงกว่าๆ เพราะวิ่งเร็วมากไม่ได้ มีตรวจจับความเร็วตลอดทางครับ อากาศวันนี้ร้อนมากครับ ไม่รู้ว่าเพราะเข้ามาในแผ่นดินด้วยหรือเปล่า แต่ไหนๆก็มาถึงแล้ว ต้องขอลงไปเดินชมป้อมสักหน่อยแหละครับ โดยค่าเข้าชมราคา 500 Baizas (คือหน่วยย่อยของ ORM) หรือราว 50 บาทไทย ป้อมนี้เป็นป้อมโบราณของจริงครับ แต่ว่าก็ได้รับการบูรณะมาตามยุคสมัย เลยดูใหม่เหมือนอย่างทุกวันนี้ ส่วนของกำแพงนั้นมีความหนามาก ที่นอกจากไว้ป้องกันแล้ว ยังช่วยกันความร้อนด้วย และยิ่งดีขึ้นไปอีกที่ส่วนนิทรรศการด้านในมีแอร์ด้วยครับ เดินชมสบายเลย ด้านบนเป็นเหมือนลานว่างที่คงเอาไว้เตรียมกำลังทหารสมัยก่อน ใหญ่มากครับ สามารถแตะบอลกันได้เลยทีเดียว ส่วนวิวข้างบนก็สวยดีครับ เมืองไม่มีตึกสูง โล่ง เห็นได้ไกล มีภูเขาเป็นฉากหลัง ส่วนพวกอาคารที่เห็นด้านล่างคือตลาด (Souq) ครับ น่าเดินมากเพราะมีแบ่งโซนชัดเจน เช่น โซนผัก โซนเนื้อ โซนปลา โซนของทำมือ ใหญ่และดูดี แต่เสียดายที่เราไปเจอตอนติดพักละหมาดพอดี เลยได้เดินดูแค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง

อย่างร้านนี้เป็นร้านขายของพวกเครื่องปั้น โถกำยาน และของที่ระลึกครับ

เที่ยวเสร็จเรียบร้อยก็มุ่งหน้ากลับมัสกัตครับ รีบไปเช็คอินให้ทัน ไฟลท์เวลา 19:40 น. จริงๆก็เวลาเหลือๆ แหละครับ แต่เผื่อไว้ดีกว่าขาด เมื่อถึงสนามบินแล้วก็จัดแจงคืนรถเช่า โดยวงเงินมัดจำจะปลดคืนให้ภายใน 2 อาทิตย์ และก็มาเช็คอินที่อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ เคาน์เตอร์ของไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ซึ่งอาคารดังกล่าวก็ตั้งอยู่ติดกับขาเข้าแหละครับ เล็กๆ เดินเชื่อมกันได้หมด เช็คอินเสร็จก็เข้ามาเดินเล่นดูของฝาก หาของกินรองท้อง แต่ถ้าเหนียวตัวแนะนำให้ไปจ่ายเงินใช้บริการเลาจน์ครับ มีห้องอาบน้ำด้วย จะได้สบายตัวก่อนขึ้นเครื่องบิน

แล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องโบกมือลามัสกัตแล้วครับ ถึงประเทศนี้จะร้อน แต่ก็มีที่เที่ยวที่แปลกและน่าสนใจให้ได้มาชมกัน แค่ด้วยเวลาที่น้อยจึงไม่อาจจะเก็บได้หมดในระยะเวลา 3 วัน ถ้าใครสนใจมาเที่ยวขอแนะนำให้มาสัก 5 วันครับน่าจะเก็บได้ครบกว่านี้ ซึ่งก็รับกับเที่ยวบินของไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ พอดี เช่น มาอังคารกลับเสาร์ หรือหากใครมาเองและซื้อทัวร์แบบ One Day ก็ได้เช่นกันครับ โดยเฉพาะทะเลทรายที่ต้องใช้รถ 4x4 และคนขับรถมืออาชีพที่สามารถพาเราไปดริฟบนเนินทรายได้ แต่ถ้าจะให้แนะนำ ก็ใช้วิธีเช่ารถขับวันนึง และซื้อทัวร์วันนึงก็ได้ครับ พวกที่เที่ยวใกล้ๆ ในเมืองก็ขับรถเองง่ายๆ สนุกๆ ส่วนทะเลทรายก็ซื้อทัวร์เอา เฉลี่ยเห็นอยู่ที่คันละ 6-8 พันขึ้นไปต่อคัน เป็นพวกรถโตโยต้า แลนด์ครูเซอร์ นั่งได้ 4-6 คน แล้วแต่ประเภทรถ หารๆกันก็คนละสักสองพันกว่าบาท แต่คุ้มน่าไปลองครับ ถ้าเวลาพอผมยังอยากไปเลย สุดท้ายนี้ก็หวังว่าข้อมูลในกระทู้จะพอเป็นประโยชน์และช่วยสร้างแรงบันดาลให้ในการออกเดินทางให้ทุกท่านไม่มากก็น้อยนะครับ อยากให้ได้ลองมาดู ลองมาสัมผัสด้วยตัวท่านเอง แล้วจะรู้ว่าโอมานนั้นมีที่เที่ยวที่น่าสนใจรอคอยให้ท่านมาเยือนอยู่อีกมากมาย สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ

ดู 677 ครั้ง
bottom of page