top of page
รูปภาพนักเขียนOn The Jet Plane

[ OSAKA ] พาเที่ยวเครื่องเล่นใหม่ใน Universal Studios Japan พร้อมตลุยกินสุดมันในโอซาก้า


"โอซาก้า" แหล่งท่องเที่ยวและเมืองเศรษฐกิจสำคัญในภูมิภาคคันไซ รายล้อมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมายจากทั้งในอดีตและปัจจุบัน ประกอบกับความสมบูรณ์มั่งคั่งของแหล่งของกินและวัตถุดิบชั้นยอด จนได้รับการขนานนามเอาไว้ว่าเป็น "ครัวของญี่ปุ่น" จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจุดหมายปลายทางแห่งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของใครหลายคนที่ไม่ว่าจะไปกี่ครั้งก็ยังรู้สึกสนุกไม่มีเบื่อ โดยเฉพาะกับสวนสนุกชื่อดังอย่าง Universal Studios Japan ที่เรียกว่าไม่มาไม่ได้เลยหากได้มาเยือนถิ่นโอซาก้า เพราะในฤดูร้อนปีนี้ทาง USJ ได้เปิดตัวเครื่องเล่นใหม่ล่าสุดมาสร้างความสนุกให้นักท่องเที่ยวได้ตื่นตาตื่นใจกันอีกครั้ง หลังจากที่ได้เคยเป็น Talk of the Town มาแล้วครั้งหนึ่งกับการเปิดตัว The Wizarding World of Harry Potter ไปเมื่อปี 2014 หลังจากนั้นจะพาทุกท่านไปตลุยกินแบบฟินกันสุดๆ กับร้านอาหารชื่อดังในโอซาก้า พร้อมลุยตลาด Kuromon Ichiba แหล่งรวมของกินสดใหม่ราคาไม่แพง ที่บอกเลยว่าถ้าไม่มาแล้วจะเสียใจ ซึ่งการเดินทางในทริปนี้ก็ต้องขอขอบคุณสายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ และสวนสนุก Universal Studios Japan ในฐานะผู้สนับสนุนหลักเอาไว้ด้วยครับ เอาละ...ถ้าหากพร้อมแล้ว มาออกเดินทางสู่ประเทศญี่ปุ่นไปด้วยกันในรีวิวนี้ได้เลยครับ

สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ เราไปกับสายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ (Thai AirAsia X) ครับ ที่มีเที่ยวบินตรงจากดอนเมืองสู่โอซาก้าวันละหนึ่งเที่ยวบิน ซึ่งแต่ก่อนเที่ยวบินนี้จะไปถึงโอซาก้าดึกครับ แต่ตอนนี้ทางสายการบินปรับเวลาถึงโอซาก้าเป็นเวลา 21:40 น. คือเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง ทำให้เราเลือกที่จะเดินทางเข้าเมืองได้หลายวิธีมากยิ่งขึ้นครับ ไม่ว่าจะเป็นรถบัส หรือรถไฟ JR และรถไฟ Nankai ขาไป XJ610 เส้นทางบินกรุงเทพฯ (DMK) - โอซาก้า (KIX) เวลา 14:15 - 21:40 น. ขากลับ XJ611 เส้นทางบินโอซาก้า (KIX) - กรุงเทพฯ (DMK) เวลา 00.10 - 04:00 น.

เราไม่ลืมที่จะซื่อตั๋ว Sky Ticket เอาไว้ล่วงหน้าด้วยครับ ซึ่งก็คือบริการจากทางสายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ที่นำบัตรรถบัส KATE จากสนามบินคันไซเข้าตัวเมืองโอซาก้า บัตรผ่านพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโอซาก้าไคยูคัง รวมทั้งบัตรผ่านสวนสนุก Universal Studios Japan มาจำหน่ายถึงบนเครื่องบิน สามารถติดต่อซื้อกับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินได้เลย โดยมีรายละเอียดของตั๋วแต่ละแบบอยู่ในแผ่นพับหน้าที่นั่ง เมื่อซื้อกับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเสร็จแล้วเราก็จะได้เป็นตั๋วของจริงมาเลยครับ ราคาเท่ากันกับซื้อที่ด้านล่าง แต่ซื้อบนเครื่องบินแบบนี้จะเลือกจ่ายเป็นเงินบาทหรือเงินเยนก็ได้เช่นกัน โดยในครั้งนี้เราเลือกจ่ายด้วยบัตรเครดิตครับ เก็บเงินสดไปใช้ที่ญี่ปุ่นดีกว่า โดยราคาตั๋วแต่ละชนิดมีดังนี้ รถบัส KATE ผู้ใหญ่ 1,550 เยน เด็ก (6-12) 780 เยน Kaiyukan ผู้ใหญ่ 2,300 เยน เด็ก (6-15) 1,200 เยน Osaka Amazing Pass 1 Day Pass 2,300 เยน 2 Day Pass 3,000 เยน Universal Studios Japan ผู้ใหญ่ (12 ปีขึ้นไป) 7,200 เยน เด็ก (4-11) 4,980 เยน ส่วนบัตรที่ได้มาจะเป็นแบบไม่ระบุวันนะครับ สามารถใช้งานวันไหนก็ได้ แค่จะระบุช่วงเวลาเป็น Period เฉยๆ เช่น จากเมษายน 59 - ธันวาคม 59 (ดูรายละเอียดได้จากบนหน้าบัตรแต่ละแบบ) ฉะนั้นถ้าซื้อจากบนเครื่องและนำไปใช้งานเลย ไม่ได้เอาไปเก็บนานๆ ก็ไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด

เคล็ดลับเมื่อถึงสนามบินโอซาก้าแล้ว (KIX) ให้รีบออกจากเครื่องบิน และตรงดิ่งไปที่ ตม. ก่อนเป็นอันดับแรกเลยครับ อย่าเพิ่งรีบแวะเข้าห้องน้ำ เพราะถ้ามาช้าแถว ตม. จะยาว และเสียเวลาไปต่อรถหรือรถไฟครับ ถ้าอยากเข้าห้องน้ำให้รอเข้าตรงที่รับกระเป๋าหลังผ่าน ตม. เรียบร้อยแล้ว เมื่อผ่านฉลุยเรียกร้อย เราก็เดินออกมาข้างหน้าอาหารผู้โดยสารที่บริเวณชั้น 1 เพื่อไปยังป้ายรถเมล์หมายเลข 5 ครับ ซึ่งเป็นรถบัสสายจากสนามบินคันไซเข้าตัวเมืองโอซาก้า ที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชม. (ช่วงกลางคืนเฉลี่ย ชม. ละคัน) หากยังไม่มีบัตรก็หยอดซื้อจากตู้อัตโนมัติได้ครับ แต่เราซื้อบัตรจากบนเครื่องบินเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็นำบัตรยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ได้เลย หลังจากนั้นเราก็จะได้รับ tag กระเป๋ามาเพื่อเอาไว้รับตอนถึงที่หมายปลายทาง จากนั้นก็เดินสวยๆ ขึ้นไปนั่งรอบนรถบัสเป็นอันเสร็จพิธีการครับ

ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง รถบัสก็จะพาเราตรงดิ่งมายังใจกลางเมืองโอซาก้าที่บริเวณหน้าโรงแรม New Hankyu ที่อยู่ใต้สถานีรถไฟ Umeda (ติดกับ Osaka Station) ตอนรับกระเป๋าคืนก็นำ tag ที่ได้ก่อนขึ้นรถยื่นให้กับเจ้าหน้าที่และเค้าก็จะหยิบกระเป๋าของเรามาส่งให้ครับ จากตรงนี้ถ้าที่พักใกล้หน่อยก็ลากกระเป๋าเดินไปได้เลย แต่ถ้าไกลก็คงต้องใช้บริการรถ Taxi ที่มาจอดรออยู่แล้วบริเวณริมถนนครับ โบกเรียกให้ไปส่งได้เลย ถ้านั่งตอนเลยเที่ยงคืนไปแล้วก็จะเป็นเรทแพงกว่าปรกติหน่อยนึง

ากจุดลงรถ เราใช้บริการรถ Taxi มายังโรงแรม The Park Front Hotel ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของสวนสนุก Universal Studios Japan ครับ ตอนกลางคืนรถโล่ง ใช้เวลาไม่มากราว 15 นาที แต่ราคาก็โหดพอตัวครับ ประมาน 3 พันเยนได้ หรือราว 1 พันบาท แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นครับ เพราะว่ามาถึงดึกมากแล้ว ฉะนั้นใครที่จะนั่งรถบัสเข้ามาโอซาก้าในคืนแรกแบบนี้ ควรเลือกโรงแรมในย่าน Umeda ที่เป็นจุดจอดรถบัสเลยจะสะดวกที่สุดครับ แต่เหตุที่เรามาพักกันไกลขนาดนี้ เพราะเรามีจุดหมายหลักในวันพรุ่งนี้คือตลุยสวนสนุกกันครับ

โรงแรมถือว่าดีมากๆ ทีเดียวครับ ตกแต่งสวยงาม ใหม่ โมเดิร์น และที่สำคัญคือห้องพักใหญ่มาก เป็นห้องแบบมากันได้ทั้งครอบครัวเลยครับ พร้อมห้องอาบน้ำแบบมีอ่างเล็กๆ ให้นอนแช่ได้ด้วย แต่น่าเสียดายที่โรงแรมไม่มีห้องอาบน้ำรวม เลยอดใช้บริการบ่อแช่น้ำร้อนใหญ่ๆ เลย ส่วนด้านใต้โรงแรมก็มีร้าน Family Mart ที่เปิดให้บริการตลอดทั้งคืน ถ้าหิวก็แวะลงมาซื้อของได้เลย

ตื่นเช้ามาบอกตรงๆ ครับว่าเปิดหน้าต่างมาแล้วถึงกับผงะเลยทีเดียว เพราะนี้คือเวลาราว 7:30 น. และสวนสนุกเปิดราว 9 โมง (เวลาเปิดปิดแต่ละวันไม่เท่ากัน แล้วแต่ช่วงฤดู) ทั้งๆ ที่อุณหภูมิด้านนอกยังเป็นเลขตัวเดียวอยู่เลย แต่มีคนมารอคิวกันขนาดนี้แล้ว ถ้าสังเกตดีๆ จะแยกได้เป็น 2 ส่วนครับ ส่วนแรกคือคนที่รอหน้าประตูใหญ่เข้าสวนสนุก หรือ Main Gate ซึ่งนั้นคือส่วนของคนที่มีบัตรผ่านแล้ว ส่วนอีกกลุ่มคืนกลุ่มที่ยังไม่มีบัตรผ่าน ที่ต่อแถวอยู่บริเวณจุดซื้อบัตรที่เป็นแนวหลังคาตรงกลางภาพครับ เห็นแบบนี้แล้วก็ขอตัวไปทานข้าวชิวๆ ก่อนแล้วกันครับ ไปยืนรอด้านนอกยังหนาวอยู่ ไม่น่าจะไหว ตรวจสอบเวลาสวนสนุกเปิดได้ ที่นี่

อาหารเช้าที่นี่เป็นแบบบุฟเฟ่ครับ โดยเราจะได้รับคูปองเข้าห้องอาหารมาตั้งแต่ตอนเช็คอิน มีทั้งแนวอาหารเช้าแบบญี่ปุ่น และแบบตะวันตก ให้เลือกตามใจชอบ เลยขอเป็นสไตล์ญี่ปุ่นแบบง่ายๆ ให้เข้ากับบรรยากาศมาเที่ยวที่นี่แล้วกันครับ

พอทานเสร็จก็เตรียมไปตลุยสวนสนุกกันครับ พอเดินออกมาแล้วจะเห็นเลยว่าที่ตั้งของโรงแรมเรานั้นดีมากๆ คือดึกสีเหลืองอยู่ต้นถนน Universal City Walk หน้าทางเข้าสวนสนุกเลย เรียกว่าเดินออกมาปุ๊ปถึงทางเข้าปั๊ป

ปีนี้ถือว่าเป็นปีครบรอบ 15 ปี ของสวนสนุก Universal Studios Japan ที่เปิดให้บริการเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2001 ดังนั้นหากใครมาเยือนสวนสนุกในปีนี้ ก็จะได้พบกับงานเฉลิมฉลองที่จะจัดงานยาวไปตลอดทั้งปีครับ โดยใช้ชื่อธีมว่า Re-Boooooooon ที่เปรียบถึงการกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง แค่เดินผ่านประตูทางเข้าก็รู้สึกได้ถึงความสนุกที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ตื่นเต้นๆ

หากใครยังไม่มีบัตรก็แวะซื้อก่อนได้ครับ นี่ขนาดเวลา 10 โมง สวนสนุกเปิดไปได้ชั่วโมงนึงแล้ว แต่คนยังรอคิวซื้อบัตรกันอยู่แล้ว แต่ถ้าเรามีบัตรผ่านที่ซื้อจากบนเครื่องบินของไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ เรียบร้อยแล้ว ก็เดินฉลุยไปที่ Main Gate ได้เลยครับ ไม่ต้องมาต่อคิวซื้อตั๋วอีกแต่อย่างใด ส่วนบัตร Express Pass ก็มีป้ายติดแจ้งเอาไว้ครับว่าหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คนซื้อกันเยอะมากจริงๆ ปล. ปรกติสวนสนุกจะหยุดจำหน่ายบัตรหลังเวลาบ่าย2 ของแต่ละวัน แต่ถ้าเรามีบัตรอยู่แล้ว ถึงมาหลังบ่าย2 ก็ยังสามารถเข้าสวนสนุกได้ครับ นี่คืออีกหนึ่งข้อดีของการซื้อบัตรไว้ล่วงหน้า

เข้ามาแล้วก็ข้อกระโดดข้ามช๊อตตัดโซนด้านหน้าไปก่อนเลยครับ รีบพุ่งไปที่โซน The Wizarding World of Harry Potter เป็นจุดหมายแรก

สำหรับโซนนี้นักท่องเที่ยวแต่ละท่านจะสามารถเข้าได้เพียงแค่คนละ 1 ครั้งเท่านั้นครับ แต่ถ้าเข้าไปแล้วจะอยู่นานแค่ไหนก็ได้ อยู่จนสวนสนุกปิดเลยก็ได้เช่นกัน โดยต้องมาต่อคิวหรือไม่ก็รับบัตรคิวกันก่อนครับ เมื่อผ่านเข้ามาแล้วก็จะเจอกับหมู่บ้าน Hogsmeade เป็นที่แรก วันนี้มีเหล่าประชาชนมั๊กเกิ้ลเข้ามาท่องเที่ยวดินแดนเวทย์มนต์กันเยอะเหลือเกิน

และก็ต้องไม่พลาดเครื่องเล่นนี้ครับ Harry Potter and the Forbidden Journey ซึ่งตอนนี้ปรับเปลี่ยนระบบฉายภาพเป็นแบบจอสามิติ 4K3D แล้ว โดยผู้เล่นจะต้องใส่แว่นตาขณะเล่นด้วย (แต่เมื่อก่อนไม่ต้องใส่แว่นตา) ส่วนเนื้อเรื่องยังคงเหมือนเดิมทุกประการครับ คือขี้ไม้กวาดไปตลุยแดนเวทย์มนต์กับแฮรี่ ถ้าเคยเล่นแล้วมาเล่นอีกก็ยังสนุกเหมือนเดิม แต่ถ้าใครไม่ชินแนะนำให้พกยาดมมาด้วยครับ เพราะเล่นเสร็จอาจจะมึนๆ หัวได้จากการดูภาพสามมิติ เครื่องเล่นอันนี้ไม่น่ากลัวแต่อย่างใดครับ เด็ก (ถ้าส่วนสูงถึง) หรือผู้ใหญ่เล่นได้หมด พอกลับออกมาเห็นคิวโชว์ 300 นาทีอึ้งเลย

สำหรับเครื่องเล่นต่อไป ต้องนี้เลยครับ The Flying Dinosaur ต้อนรับการกลับมาของภาพยนตร์ Jurassic World ซึ่งเป็นเครื่องเล่นใหม่ล่าสุดในโซน Jurassic Park ที่เพิ่งเปิดตัวไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมานี้เองครับ อารมณ์เหมือนเราถูกเจ้านกยักษ์จับเราขึ้นไปเหาะเหินอยู่บนอากาศ โดยตัวที่นั่งบนรถไฟเหาะนั้นจะจับเราให้อยู่ในท่านอน เหมือนกำลังบินอยู่ครับ

รีบจ้ำสุดกำลัง ใกล้เข้ามาแล้ว ดูน่าสนุกทีเดียว

และแล้วก็ได้เล่นสมใจอยากครับ บอกเลยว่าสนุกมาก ไม่น่ากลัวอย่างทีคิดครับ อาจจะไม่เสียวมากนักสำหรับคนชอบรถไฟเหาะตีลังกา แต่ถือว่าเสียวกำลังดี ออกแนวสนุกมากกว่าครับ แค่ตอนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ และเค้าจับปรับเป็นท่านอน คนก็ร้องกรี๊ดกันทั้งขบวนแล้วครับ ช่วงบ่ายๆ เห็นความยาวคิวยาวไปถึง 400 นาทีเลยทีเดียว จะรอนานไปไหนเนี่ย

ภายในโซน Jurassic Park มีการปรับปรุงใหม่เกือบทั้งหมดครับ ก็จะมีเครื่องเล่นหรือโชว์เกี่ยวกับไดโนเสาร์ให้เห็นได้ตลอดทั้งโซน อย่างตรงนี้ก็จะเป็นเจ้าตัวร้ายในภาคล่าสุดโผล่ออกมาครับ เหมือนกำลังพยายามจะแหกกรงออก

สำหรับมื้อเที่ยง เลยขอฝากท้องเอาไว้ที่ Discovery Restaurant เลยแล้วกัน หน้าตาเมนูก็จะพยายามทำออกมาให้เหมือนเป็นอาหารที่ปรุงจากเนื้อและไข่ไดโนเสาร์ครับ คงจะถูกใจเด็กๆ ที่มากันทีเดียว บางเวลาก็จะมีนักแสดงใส่ชุดไดโดเสาร์ออกมาเดินอาละวาดในศูนย์อาหารด้วยเช่นกัน เด็กๆ มารุมรอถ่ายภาพกันเต็ม

ในช่วงบ่ายเราก็มาดูโชว์ครบรอบ 15 ปีกันครับ เพลงครบรอบทางสวนสนุกแต่งออกมาได้ดีทีเดียว เป็นจังหวะเร็วๆ สนุก เด็กๆ ร้องตามและเต้นกันได้ง่าย จะเห็นว่าเด็กๆ ชาวญี่ปุ่นออกมาเต็มตามนักแสดงบนเวทีกันเพียบเลยครับ แถมการแสดงก็จัดเต็มมาก ยิงพลุกระดาษกันแบบไม่กลัวหมด ยืนดูอยู่ห่างๆ ยังพลอยสนุกไปด้วยเลย แต่พอเสร็จกิจกรรมทางเจ้าหน้าที่เค้าก็มาเก็บกวาดกันไวมากครับ แป๊ปเดียวก็กลับมาสะอาดเหมือนเดิมแล้ว ในความเป็นญี่ปุ่น เราก็จะเห็นเด็กๆ ที่มาแต่งชุดครอสเพลเป็นตัวการ์ตูนทั้งญี่ปุ่นและต่างประเทศกันเป็นจำนวนมากครับ ส่วนตัวการ์ตูนที่นิยมแต่งที่สุดบอกเลยว่าหนีไม่พ้นแก๊ง Minion มีหลายกลุ่มมากๆ

ฉากจบจัดเต็มสุดๆ เต็มฟ้าเลยทีเดียว

แวะพักทานเครื่องดื่มกันแป๊ปนึง เห็นแล้วน่ารักดีครับ ไอเดียเด็ดจริงๆ สำหรับตู้โค้กที่ต้องให้คู่รักร่วมแรงร่วมใจกันถึงจะสามารถไปกดได้ถึง เพราะตั้งเอาไว้สูงมาก บางคู่ก็พากันขี่คอ ส่วนบางคนตัวสูงหน่อยก็กระโดดเอา โดนถ้าใครกดถึงก็จะมีโค้กออกมา 2 ขวดครับ ให้ทั้งคนกดและคนให้ขี่คอ ดื่มขื่นกายชื่นใจกันไป

ต่อจากนั้นมารอชมขบวนพาเหรดเฉลิมฉลองครบรอบ 15 ปีครับ อันนี้สนุกมาก เพราะคงเป็นพาเหรดไม่กี่อันที่คนดูได้เข้ามาร่วมสนุกด้วย มีทั้งตัวการ์ตูนของญี่ปุ่นและต่างประเทศผัดเปลี่ยนเข้ามาให้ความสนุกผู้ชมกันอย่างเยอะมาก รถในขบวนสิบกว่าคันได้

ตรงนี้เป็นช่วงที่รถจอด และให้คนที่ยืนดูอยู่ริมสองข้างทางเข้ามาร่วมเต้นร่วมสนุกตามเพลงไปพร้อมๆ กันครับ ฉีดน้ำ ฉีดโฟมกันเต็มฟ้าไปหมด ตัดกับแสงแดดยามบ่ายสวยมากครับ ดูสนชื่นดี เด็กนี่จะเอ็นจอยกันอย่างมาก เห็นแล้วยังอยากกลับไปยืนดูขบวนพาเหรดนี้อีกเลย

โชว์ปิดท้ายกับเหล่า Minion ที่พากันยกขบวนมาดับไฟเหมือนในภาพยนต์เรื่อง Despicable Me ภาค 2 ถ้าใครจำได้คงจะนึกออกกับเสียงชวนกวนอารมณ์ตอนเข้ามาดับไฟที่ร้องว่า บี้ โด่ว บี้ โด่ว ถือเป็นอีกหนึ่งโชว์ที่น่ารักดีครับ

หลังจบจากเที่ยวสวนสนุก Universal Studios Japan แล้วเราก็มุ่งหน้ามายังย่าน Dotonbori เพื่อหาขออร่อยหม่ำกันในเย็นนี้ ซึ่งตรงนี้ก็อย่างที่ทราบกันดีครับว่านอกจากจะเป็นที่ตั้งของป้ายกุลิโกะ ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองโอซาก้าแล้ว ยังเป็นย่านช๊อปปิ้งและร้านอาหารที่มีให้เลือกมากหลายสไตล์ เรียกว่ามาที่เดียวครบ

หลังจากเดินเที่ยวสวนสนุกมาทั้งวัน เย็นนี้ต้องขอจัดเต็มหนักๆ กับเนื้อย่างแสนอร่อยที่ร้าน Matsusaka M ซึ่งมีอยู่หลายสาขาในโอซาก้าครับ แค่ตรง Dotonbori นี้ก็มีอยู่ 3 ร้านแล้ว โดยร้านที่เราไปทานกันนี้อยู่ในตรอกเล็กๆ ครับ ซึ่งตรอกตรงนี้มีร้านเนื้องย่างตั้งเรียงรายอยู่หลายร้านมาก เรียกชื่อถนนไม่ถูกเหมือนกัน แต่ว่าถ้าใครอยากตามรอยสามารถดูได้จากแผนที่ด้านล่างครับ เห็นหน้าตาเนื้อแล้วต้องบอกว่าอร่อยเด็ดจริงๆ ครับ เนื้อมีมันแทรกเป็นลายหินอ่อน ทานแล้วฟินมากแทบจะตัวลอยกันเลยทีเดียว สำหรับใครที่มาทาน อาจสั่งเซ็ทแนะนำสักเซ็ทดูก่อนก็ได้ครับ จากนั้นค่อยสั่งแยกแบบเป็นจานตามชนิดเนื้อที่ชอบ ไม่ยั้งงั้นมีกระเป๋าฉีกแน่นอนครับ ราคาเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่ถ้ามาแล้วจัดสักทีก็ถือว่าน่าลองอยู่

ส่วนร้านนี้เรียกว่า ถ้าได้มาญี่ปุ่นครั้งใดเป็นต้องหาโอกาสมาจัดครับ กับร้าน Isomaru Suisan ซึ่งเป็นร้านอาหารทะเลที่มีสาขาอยู่หลายแห่ง ทั้งในโตเกียวและโอซาก้า สำหรับสาขาที่ Dotonbori เดินตรงเข้ามาทางซอยร้านปูยักษ์สีแดง (Kani Doraku) ตรงมาเรื่อยๆ จนเจอกับตรอกฝั่งขวามือที่มีร้านราเมนรูปมังกรตัวใหญ่อยู่หน้าร้าน โดยร้าน Isomaru Suisan ก็จะตั้งอยู่ติดกับเจ้ามังกรเลย (ร้านซ้ายมือในภาพ) ตกแต่งแบบอาร์ทๆ เป็นลายเส้นรูปปลาแบบที่เห็น แถมเปิด 24 ชั่วโมงด้วยครับ คือหิวตอนไหนก็มาได้เลย รับทั้งเงินสดและบัตรเครดิต

อาหารร้านนี้เป็นเมนูซีฟู๊ดอาหารญี่ปุ่นที่ราคาไม่แพงครับ ทานแล้วไม่กระเป๋าฉีกแน่นอน ถ้าพวก Don เมนูข้าวหน้าปลาดิบก็ราคาไม่ถึงพันเย็นก็อิ่มได้ แต่ถ้าจัดเต็มกันหน่อยมาทานกันหลายคนหารๆ กันก็รับได้อยู่ ส่วนเมนูเด็ดสุดที่เรียกว่าเป็น The Must ก็คือเมนูมันปูผสมมิโสะ ที่เสริมมาทั้งกระดองปูและต้องเอามาย่างให้สุกก่อนเพื่อทานกับข้าวสวยร้อนๆ บอกเลยว่าเมนู้นี้ถ้าไม่สั่งถือว่าพลาดครับ สั่งกระดองเดียวมีไม่พอแน่นอน ส่วนเมนูหอยเซลล์นี่มาเสริฟแบบยังสดๆ เลยนะครับ โดยเจ้าหน้าที่จะนำมาย่างให้ พอสุกแล้วก็น่าทานดังภาพนี้แหละครับ หอมกรุ่นเชียว ใช้กรรไกรตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ราดด้วยโชยุก็เป็นอันพร้อมทาน นึกถึงแล้วยังน้ำลายสอ ร้านนี้ห้ามพลาด บอกเลย

สุดท้ายถ้าท่านใดอยากตามรอย ก็ดูได้จากแผนที่ด้านล่างนี้เลยครับ

สำหรับขาดื่มต้องไม่พลาดร้านนี้ครับ เป็น Saki Bar ชื่อว่า Ponshebi บอกเลยว่าญี่ปุ่นจ๋าสุดๆ ไม่อยู่ในแผนที่เที่ยวของนักท่องเที่ยวซะเท่าไหร่ เข้าไปแล้วจะเป็นแนวคนญี่ปุ่นมากันเองซะมากกว่า แต่บรรยากาศได้อารมณ์มากครับ จากป้ายกุลิโกะ เดินตามแนวถนน Shinsaibashi ขึ้นมาทางเหนือเรื่อยๆ จนสุดที่ร้าน Uniqlo แล้วเลี้ยวขวา เดินตามทางมาอีกนิดจนเจอตึกแถวเก่าๆ ลงไปชั้นใต้ดิน ก็จะพบกับร้านดังเกล่าครับ ไม่เหมาะกับการมาเป็นกรุ๊ปนะครับ เพราะร้านเล็กที่นั่งไม่พอ เหมาะแบบมากับคนรู้ใจหรือเพื่อน 2-4 คนครับ

ราคาเครื่องดื่มที่นี่เรทอาจจะสูงกว่าร้านทั่วไปนิดนึง แต่ถ้ากำลังมองหาร้านนั่งดื่ม นั่งคุยกับคนรู้ใจแบบญี่ปุ่นๆ อยู่ละก็ แนะนำว่าไม่ควรพลาดครับ เสริฟแบบมีสไตล์มาก ส่วนอาหารก็จะเป็นแบบญี่ปุ่นฟิวชั่น เก๋ๆ ทานเบาๆ กับเครื่องดื่ม ซึ่งเจ้าของร้านจะค่อนข้างขี้อายครับ แต่ทำเองเสริฟเองเลย

และถ้าอยากชิมสาเกดีๆ ต้องมาที่นี่เช่นกันครับ เพราะสาเกที่เสริฟที่นี่บางตัว เป็นตัวที่ไม่มีขายในท้องตลาดทั่วไป รสชาติหอม นุ่มมาก ไม่ฝาดเลย ขนาดไม่ชอบดื่มสาเกยังต้องยอมเลยครับ เด็ดจริงๆ

แต่ถ้าอยากหาร้านนั่งดื่มสไตล์ญี่ปุ่นราคาเบาๆ ไม่แพงมาก อยู่ตามแหล่งท่องเที่ยวเดินทางได้ง่าย ก็แนะนำร้านนี้เลยครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าชื่ออะไร (อ่านญี่ปุ่นไม่ออก) แต่ว่าเห็นมีอยู่ในโอซาก้า 2 สาขาด้วยกันครับ คือตรง Namba และ Dotonbori เป็นร้านสไตล์ izakaya ที่มีของปิ้งๆ ขายให้ทานคู่กับเครื่องดื่ม เบียร์ที่เสริฟนี่มาเป็นแบบแก้วแช่เย็นเจี๊ยบจับใจ ส่วนรสชาติอาหารอร่อยดีครับ มีไม้ปิ้งๆ ให้เลือกหลากหลายแบบดี สำหรับราคานั้นก็กลางๆ ไม่สูงเกินไป รับทั้งเงินสดและบัตรเครดิตเช่นกัน ถ้าสนใจตามรอยไว้ดูจากแผนที่ในเนื้อหาด้านล่างได้เลยครับ

ในเช้าวันรุ่งขึ้น หากไม่อยากทานอาหารโรงแรม แนะนำให้มาเปลี่ยนบรรยากาศกันที่ร้าน Endo Shshi ที่ตลาดปลาของโอซาก้าครับ ตั้งอยู่บริเวณหน้าทางเข้าตลาดปลาเลย ร้านนี้เป็นที่รู้จักกันอย่างดีในหมู่คนไทย โดยเป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดมาแล้วกว่าร้อยปี ถ้าจะมาแนะนำให้มาราว 7 โมงเช้าครับจะไม่ค่อยมีคิว แต่ถ้ามาสัก 8 โมงนี่คิวยาวแล้ว ต้องต่อคิวครึ่ง ชม. เป็นอย่างต่ำ

เข้ามาแล้วก็ง่ายๆ ครับ เมนูมี 4 ชุดให้เลือก แต่ละชุดจะมีซูชิ 5 คำ ที่เชฟจัดไว้ให้ ทุกชุดราคาเท่ากัน 1,050 เยน ดังนั้นก็แล้วแต่เลือกเลยครับว่าใครชอบชุดไหน อยากจัดกี่ชุดก็ราคาเท่ากันหมด เห็นตอนนี้มีมาเปิดที่ไทยตรงทองหล่อแล้วด้วยครับ (ราคาชุดละ 450 บาท)

แต่ถ้าเราชอบชิ้นไหนเป็นพิเศษ อยากเลือกสั่งเป็นคำๆ ก็ได้เช่นกันครับ ถ้าสั่งเป็นภาษาญี่ปุ่นไม่ถูกก็จิ้มๆ เอาจากภาพในเมนูได้ครับ และอย่าลืมทานคู่กับซุบนะครับ อร่อยเข้ากันดีทีเดียว

สำหรับวันนี้ เราเลือกที่จะเดินทางกับด้วยรถไฟผ่านบัตร Osaka Amazing Pass ครับ ซื้อได้ที่จุดบริการนักท่องเที่ยว หรือสถานีรถไฟใหญ่ๆ อย่างสถานี Namba โดยสามารถขึ้นรถไฟในตัวเมืองโอซาก้าได้ทั้งหมด (ยกเว้น JR) รวมทั้งสามารถใช้เป็นบัตรผ่านเข้าสถานที่ท่องเที่ยวได้ฟรีหลายสิบแห่ง อย่างเช่นเข้าปราสาทโอซาก้าได้ฟรี หรือใช้เป็นส่วนลดค่าเข้าหรือบริการต่างๆ ที่มีระบุเอาไว้อยู่ในคู่มือที่เราได้รับมาครับ ส่วนราคาก็ดังนี้เลย แต่รับแค่เงินสดเท่านั้นนะครับ ใช้บัตรเครดิตไม่ได้ แอบแปลใจเหมือกัน 1 Day Pass 2,300 เยน 2 Day Pass 3,000 เยน และตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป เราสามารถซื้อบัตร Osaka Amazing Pass ทั้งแบบ 1 Day Pass และ 2 Day Pass ได้ถึงบนเครื่องบินของสายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ เลยครับ แถมถ้าซื้อบนเครื่องยังสามารถเลือกจ่ายเป็นบัตรเครดิตได้ด้วย ราคาเท่ากันเลย ดูรายละเอียดบัตรเพิ่มเติมได้ ที่นี่

ช่วงที่ไปเป็นช่วงก่อนที่ซากุระกำลังจะบานพอดี เลยเจอต้นที่บานแล้วบ้างประปรายครับ แต่ก็ถือว่ายังดีกว่าไม่ได้เห็น แค่นี้ก็มีความสุขและ

ถัดจากนี้เราจะมุ่งหน้าลงมาทางตอนใต้ของเมืองโอซาก้ากันบ้างครับ โซนนี้มีมีที่เที่ยวเยอะเหมือนกัน แต่ที่จะขอพูดถึงเป็นที่แรกนั่นก็คือตลาดสด Kuromon Ichiba ครับ จากแผนที่นี่ด้านล่าง ให้เรานั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Nippombashi และเดินต่อมาอีกหน่อยทางทิศใต้ก็จะเจอกับตลาด Kuromon Ichiba เลยครับ (ร้าน izakaya ที่แนะนำไปก่อนหน้าใน คห.20 ก็ดูได้จากแผนที่นี้เช่นกันครับ อยู่ตรง Numba)

หากโอซาก้าคือครัวของญี่ปุ่น ตลาด Kuromon Ichiba นี่ก็คือห้องครัวของโอซาก้าครับ เพราะตลาดสดแห่งนี้เป็นที่รู้จักดีของคนญี่ปุ่นที่ต้องการมาจับจ่ายอาหารสดกลับไปทำที่บ้าน ด้วยวัตถุดิบชั้นดี ราคาไม่แพง ตลาดแห่งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้ที่มาเยือนโอซาก้า ซึ่งในปัจจุบันนี้ตลาด Kuromon Ichiba ก็เริ่มเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากแล้ว เมื่อเดินตามแนวถนนใหญ่จากสถานีรถไฟใต้ดินลงมาเรื่อยๆ ก็จะเจอกับป้ายทางเข้าตลาด Kuromon Ichiba สามารถเข้าได้จากหลายจุดเลยครับ เพราะเชื่อมต่อกับหลายถนนอยู่เหมือนกัน ซึ่งส่วนของตลาดก็สังเกตง่ายๆ คือจะมีหลังคาคลุมอยู่ด้านบนครับ

ภายในตลาดประกอบไปด้วยร้านรวงมากมาย ทั้งอาหารสด อาหารทะเล เนื้อสัตว์ ผลไม้ ข้าวของเครื่องใช้ รวมแล้วตลาดนี้กินพื้นที่ใหญ่พอสมควรเหมือนกันครับ เหมาะมากกับการมาเดิมชิมร้านนู้นนิด ร้านนี้หน่อย มาที่เดียวอร่อยได้ครบทุกอย่างจริงๆ

หากถูกใจร้านไหนเป็นพิเศษ ก็เลือกซื้อและเข้าไปนั้งทานในร้านได้เลยครับ มีที่ไว้รอบริการเรียบร้อย อย่างร้านนี้เป็นร้านขายอาหารทะเสสด จึงมีเมนูปลาดิบ ปูยักษ์ หรือหอยเม่นสดๆ ไว้รอบริการ ถ้าเราถูกใจกล่องไหนก็หยิบไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์ ซึ่งถ้าเป็นของสดทางร้านก็จะไปเตรียมให้ก่อน จากนั้นก็มานั่งอร่อยที่โต๊ะได้เลย ทั้งตะเกียบ ซอยโชยุ ทางร้านจัดไว้ให้พร้อมสรรพ

หากเดินเที่ยวตลาด Kuromon แล้วยังไม่สาแก่ใจ ขอแนะนำร้านข้าวหน้าเนื้อกันต่อเลยครับ จากแผนที่ด้านบนให้เดินเลยตลาด Kuromon ลงมาทางใต้อีกนิดนึงจนถึงย่าน Den-Den Town ก็จะพบกับร้านข้าวหน้าเนื้อป้ายสีส้มร้านนี้ครับ ตั้งอยู่หัวถนนเลย เดินเข้าไปแล้วจะมีตู้ให้กดหยอดเหรียญว่าต้องการทานเมนูอะไร จากนั้นก็นำใบคูปองที่ได้จากเครื่องไปยื่นให้พนักงานก็เป็นอันเสร็จพิธีครับ ที่เหลือก็แค่รอพนักงานนำมาเสริฟก็พร้อมอร่อยได้เลย สำหรับร้านนี้รับแต่เงินสดนะครับ ทีเด็ดมันอยู่ตรงที่ข้าวหน้าเนื้อร้านนี้เป็นแบบเนื้อย่างครับ แถมโรยชีสที่ด้านบนด้วยกลิ่นหอมมากๆ แตกต่างจากร้านข้าวหน้าเนื้อทั้วไปที่จะเป็นเนื้อต้ม บอกเลยว่าเด็ดอย่าบอกใคร มาแล้วทั้งที ต้องสั่งจานขนาดกลางขึ้นไปนะครับถึงจะสะใจ และอย่าลืมสั่งไข่ดิบมาตอกใส่ด้วยรับรองฟินสุดๆ ราคาก็ถูกมากครับ ข้าวหน้าเนื้อเริ่มต้นแค่จานละไม่ถึง 500 เยน รวมสั่นนู่นนี่นั่นด้วยไม่ถึงพันเยนก็อิ่มตื้อแล้ว

จากสถานี Nippombasi เราออกเดินทางกันต่อไปยังสถานี Tennoji ซึ่งค่อนมาใต้ใต้ของเมืองโอซาก้า จากที่นี่ จะขอพาขึ้นไปชมวิวยังจุดที่สูงที่สุดในเมืองโอซาก้ากันที่อาคาร Abeno Harukas กันครับ ซึ่งเป็นอาคารที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น (Tokyo Sky Tree แม้จะสูงกว่า แต่ถูกจัดว่าเป็นหอคอย) โดยเมื่อลงรถไฟใต้ดินที่สถานี Tennoji แล้วก็เรียกได้ว่าถึงเลย เพราะตัวสถานีเชื่อมต่อกับชั้นใต้ดินของตึก จากนั้นก็ขึ้นลิฟท์มาที่ชั้น 16 เพื่อมาซื้อตั๋วก่อนขึ้นไปชมยังชั้นบนสุดที่เรียกว่า Harukas300 (ตึกสูง 300 เมตร) สำหรับการขึ้นชมตึกนั้นเปิดให้บริการทุกวันเวลา 09:00 - 22:00 น. โดยมีราคาดังนี้ ผู้ใหญ่ 1,500 เยน เด็ก (12-17 ปี) 1,200 เยน เด็ก (4-5 ปี) 500 เยน จากนั้นก็นำบัตรมาแสดงที่จุดขึ้นลิฟท์ ใช้เวลาแค่แปปเดียวเราก็ขึ้นมาถึงยังชั้นบนสุดแล้วครับ หู้อื้อเลยทีเดียว

จากบนนี้สามารถเห็นวิวของเมืองโอซาก้าได้รอบทิศแบบ 360 องศาเลยครับ ถ้าหากอากาศดีๆ มองไปได้เห็นถึงสนามบินคันไซเลยทีเดียว

ถ้าชมวิวจุใจแล้ว อยากมานั่งชิวหาเครื่องดื่มทานต่อบนนี้ก็มี Cafe ไว้บริการเช่นกันครับ สำหรับเราเองไม่ได้ไปลองใช้บริการแต่อย่างใด เพราะมีนัดกับที่หมายถัดไปที่ด้านล่างตึกครับ

ถ้าหากได้มาเยือนตึก Abeno Harukas แล้ว อีกสถานที่ที่ห้ามพลาดเลยคือชั้นใต้ดิน B2 ครับ ซึ่งก็คือชั้นที่เชื่อมกับรถไฟใต้ดินตอนที่เรามาถึงนั่นแหละครับ เรียกว่าออกจากสถานีมาแล้วก็เจอเลย ซึ่งที่ตรงนี้ถูกวางคอนเซ็ปเอาไว้ให้เป็นสถานที่รวบรวมร้านขนมหวานชื่อดังจากทั่วประเทศญี่ปุ่นครับ เรียกว่าร้านไหนเด่น ร้านไหนดัง มาที่นี่ที่เดียวมีครบหมด เมื่อเข้ามาแล้วเราจะพบกับร้านขนมหวานชื่อดังมากมายตั้งเรียงรายอยู่ กินพื้นที่ทั้งชั้นใต้ดินเลยครับ มีการตกแต่งหน้าร้านได้หรูหราราวกับชั้นขายเครื่องสำอางค์กันเลยทีเดียว แต่เห็นหรูๆ แบบนี้ ราคาก็ไม่ได้แรงไปซะหมดทุกร้านนะครับ มีทั้งถูกทั้งแพงปนๆ กันไป แต่บอกเลยว่าสวรรค์ของคนรักของหวานจริงๆ ฟินแน่นอน

หลังจากตะลอนทัวร์มาทั้งวัน ก็ถือว่าสมควรแก่เวลาที่จะเดินทางกลับสนามบินคันไซกันซะที โดยเราเลือกใช้บริการรถไฟด่วนสาย Nankai Limited Express Rapid ที่ให้บริการต้นสายจากสถานี Namba ตรงสู่สนามบินคันไซด้วยเวลา 37 นาทีเท่านั้น ราคา 920 เยน (ไม่ระบุที่นั่ง) และ 1,130 เยน (ระบุที่นั่ง) ซื้อตั๋วได้ที่สถานี Namba เลย ถ้าซื้อกับพนักงานรับทั้งเงินสดและบัตรเครดิต และยังสามารถจองตั๋วล่วงหน้าของวันอื่นๆ ก็ได้เช่นกัน เก้าอี้ภายในเป็นเบาะผ้านั่งสบายดีครับ มีที่วางกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ให้บริเวณส่วนหัวของตู้รถไฟทุกคัน นั่งเพียงแป๊ปเดียวก็ถึงสนามบินคันไซแล้ว ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สะดวกสบายดี ครั้งนี้โชคดีมากเลยครับ ได้นั่งขบวนพิเศษลาย Star Wars ซะด้วย

ถึงสนามบินคันไซเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ แต่หลังจากเดินเที่ยวมาทั้งวันรู้สึกเหนียวตัวพอสมควร เลยขอแวะอาบน้ำล้างตัวให้สบายตัวก่อนขึ้นเครื่องกลับไทยซะหน่อยที่ KIX Airport Lounge ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชั้น 2 ซึ่งเป็นชั้นเที่ยวบินในประเทศ และเป็นชั้นเดียวกับทางเชื่อมจากสถานีรถไฟด้วยครับ มองหาง่ายมากเพราะอยู่ติดกับร้านแม็คโดนัลเลย เลือกใช้บริการได้ทั้งเป็น Lounge เข้าไปนั่งพัก เริ่มต้นที่ 30 นาที ราคา 310 เยน พร้อมเครื่องดื่ม Soft Drink ฟรี หรือใช้บริหารห้องอาบน้ำในราคา 510 เยน (ไม่เกิน 30 นาที) ส่วนราคาการใช้บริการในแบบอื่นๆ ดูดังภาพด้านล่างได้เลยครับ

จริงๆ แล้วโอซาก้ายังมีที่กินที่เที่ยวอีกมากมายที่น่าไป แต่ด้วยระยะเวลาที่จำกัดจึงทำสามารถนำมาให้ชมกันได้เพียงเท่านี้ ที่เหลือคงต้องขอยกให้เป็นหน้าที่ของทุกท่านที่จะออกไปสัมผัสและเปิดมุมมองใหม่ๆ ของโอซาก้าด้วยตัวเองกันแล้วครับ ก็หวังว่ารีวิวนี้คงจะสร้างแรงบันดาลใจและเป็นข้อมูลในการเดินทางให้ท่านได้ไม่มากก็น้อยนะครับ สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาจนจบมากเลยครับ จากกันไปด้วยภาพนี้เลยแล้วกัน และไว้พบกันใหม่ในรีวิวหน้า สวัสดีครับ

ดู 622 ครั้ง
bottom of page